ข่าว:

เล่นบาคาร่าออนไลน์กับค่าย AE SEXY เซ็กซี่บาคาร่าเขาดีจริงๆนะ

TheFAcup! ลุ้น4แชมป์!

เริ่มโดย ผลบอลวันนี้, เม.ย 17, 2022, 11:09 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

ผลบอลวันนี้



กลายเป็นคู่แข่งที่ลุ้นกันเกือบทุกรายการสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูลเที่ยวนี้เอฟเอ คัพ มีความน่าสนใจอย่างมากมายหลังจากเสมอกันในพรีเมียร์ลีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกของสองทีม

    แน่นอนครับ....การกรำศึกเดินทางเข้าสู่ช่วงสำคัญของฤดูกาล "ศักยภาพ" ของทีมเชิงลึกสำคัญที่สุด

    พรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนส์ลีก, เอฟเอ คัพ สามเกมใน7 วันต่อเนื่อง

    แถมวันเสาร์ที่16 เม.ย. อากาศที่อังกฤษจัดว่าร้อนอบอ้าวอีกต่างหาก

เป๊ป "โรเตชั่น" กระจาย



    ถ้านับเอาตัวหลักชุดแรก แนวรับของเป๊ป คือชุดสอง สามคน

    สเตฟเฟน ประตูมือสองเล่นถ้วยนี้อยู่แล้ว แทน เอแดร์ซอน

    เนธาน อาเก, ชินเซนโก ได้โอกาสลงสนาม หลังจาก ไคล์ วอล์คเกอร์ เจ็บ

    โยก กานเซโล ไปแบ็กขวา ส่วน อาเก้ ยืนเซนเตอร์​กับ จอห์น สโตน

    แดนกลางยิ่งไม่ใช่ชุดแรก แฟร์นานดินโญ, แบร์นาโด ซิลวา (ลงตลอดเลย) และ ฟิล โฟเดน ชุดนี้แทบไม่ได้เล่นด้วยกัน โดย กุนโดกัน, โรดริโก มีชื่อสำรองเช่นเดียวกัน เดอ บรอยน์ ที่ไม่สมบูรณ์มีชื่อสำรอง ส่วนข้างหน้า เชซุส , สเตอริงและ กรีลิช

    พอเข้าใจแนวทางได้ เล่นติดต่อกันมาหลายนัด ถึงจังหวะต้องพักบ้าง ไม่ใช่ว่า "ทิ้ง" แต่การหมุนนักเตะใช้งานบวกกับความมั่นใจในการใช้นักเตะชุดสองของ เป๊ป มีเกินร้อย อีกทั้งบอลถ้วยเปลี่ยนตัวได้ห้าคน

    หยิบใช้ได้ตลอด
   
คลอปป์ ปรับแนวรุก



    กลางสัปดาห์ผลเสมอกับเบนฟิก้าจากการโรเตชั่นตัวหลัก7 คนไม่มีผลกระทบอะไร เพราะสกอร์รวมเข้ารอบ นักเตะตัวหลักหลายคนกลับมาเล่นในเกมนี้ ทั้ง เวอร์จิล ฟานไดจ์ , โม ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน

    เบคเกอร์ กับแบ๊กโฟร​ ปรับ โกนาเต้ มาเล่นกับ ฟานไดจ์ แบ๊กสองข้าง เทรนต์ และ รอบโบ ส่วนแดนกลางมีการปรับด้วยการส่ง เกอิตา ลงเล่นกับ ฟาบินโญ และ ติอาโก โดยเฮนโด พักข้างสนาม ส่วนข้างหน้านี่แหละที่มีการปรับ แม้ มาเน และ ซาลาห์ ลง แต่ ลุยส์​ ดิอาส ได้โอกาสต่อเนื่อง ทำให้ มาเน ต้องไปยืนหน้าเป้า

    ชุดนี้คือชุดที่ชนะเบนฟิก้า 3-1 ในเกมแรกของ ช.ป.ล .......

แฟนแมนฯซิตี้บางส่วน... "low class"

    ก่อนแข่งมีการยืนไว้อาลัย หรือ  a minute's silence

    ครบรอบ 33 ปีต่อการจากไปของสาวกเดอะ ค็อป 97 ชีวิต ที่ฮิลส์โบโร่

    ปรากฏว่าแฟนแมนฯซิตี้ กลับส่งเสียงโห่....ไม่เคารพต่อธรรมเนียมปฏิบัตินั้น

    ไมเคิล โอลิเวอร์​ รีบเป่านกหวีดหยุดการไว้อาลัย และเริ่มเกมการแข่งขันทันที

อืม...ในดงผู้ดีก็มีผู้เลว

ครึ่งแรกในฝัน 3-0



    15 นาทีแรกกลายเป็นจุดที่กำหนดเกมการเล่นครึ่งแรก สองทีมนั้นพยายามเพรสแดนบน ก็ยังไม่มีจังหวะกดดันมากมายดูจะแก้ทางกันได้ โดยทีมรุก ซิตี้ นั้น เป๊ป ใช้ กรีลิช "หน้าปลอม" ราฮีม ปีกซ้าย และเชซุสปีกขวา แต่ ราฮีม กับ กรีลิช สลับกันได้ โดย โฟเดน นั้นจะเติมมาช่วยเมื่อบุกเข้าแดนสามลิเวอร์พูล

    กระนั้นจังหวะสกอร์แดนสุดท้ายไม่มีเกิดขึ้นจนถึงนาทีที่9

    เมื่อเด็กหงส์ใช้ทีเด็ดลูกเตะมุม รอบโบ แอสซิสต์​เข้าหัว โกนาเต  นั่นคือครั้งแรกที่ได้โอกาสยิงแล้วเป็นประตูขึ้นนำ

    พอขึ้นนำเร็ว ทำให้จังหวะจะโคนของลิเวอร์พูล เล่นง่ายขึ้น แมนฯซิตี พยายามเดินเกมกดดัน แต่ยังไม่ได้น้ำได้เนื้อก็มาเล่นพลาดเอง จากจังหวะที่ สเตฟเฟน ประตูมือสองเล่นยากพยายามใช้เท้าสองสามจังหวะ เลยโดน มาเน ที่วิ่งบีบเข้ามาก่อนสไลด์บอลได้ก่อน โดนเท้า สเตฟเฟนระยะเผาขนเข้าไป 2-0 ใน17 นาทีแรก...



จากนั้นเกมของเด็กหงส์ยิ่งเล่นง่าย มีออกบอลเสียบ้าง แต่ไม่อันตราย ขณะที่วันนี้ดูเหมือนนักเตะแมนฯซิตี้ จะมีปัญหาในจังหวะแย่งบอล 50-50 มักเป็นฝ่ายลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่า  การบุกวันนี้  จนท้ายครึ่งแรก.....จังหวะการประสานงานของ ติอาโก, เทร้นต์​ หน้าไลน์กองหลัง เป็น ติอาโก โชว์การชิพบอลเหนือชั้น ตกลงเท้า มาเน วอลเลย์ เข้าไปที่เสาแรก 3-0       นีคือครึ่งแรกในฝันของเด็กหงส์และทีมไหนก็ตามที่ขึ้นนำ แมนฯซิตี้ 3-0 ใน45นาทีแรก      ครั้งล่าสุดที่แมนฯซิตี้ โดนคู่แข่งยิง 3-0 ในครึ่งแรกคือ ช.ป.ล รอบก่อนรองชนะเลิศนัดแรก      เมื่อ 5 เม.ย. 2018  ก็เป็นลิเวอร์พูลของ เจเค นั่นเอง  ครึงหลัง...เรือใบได้เร็ว

    สองนาทีนับจากการเขี่ยบอล

    นี่คือคุณภาพของแมนฯซิตี ในการเข้าทำและจบสกอร์ เชซุส สลัดตัวประกบ ก่อนให้บอล กรีลิช แปเน้นๆ ไล่มา 3-1 น.47 นั่นทำให้เรือใบสีฟ้ามีความหวังในการลุ้นประตูที่เหลือสองลูก

    เรือใบจึงคุมเกมได้ลุ้น กระนั้นก็ไม่ได้สร้างจังหวะอะไรมาก จนถึงสิบนาทีสุดท้ายเรือใบกดดันต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาไล่มา 3-2 นาทีที่ 90+1 นั่นเองที่ช่วงทดเวลาสร้างความหวาดเสียวและเครียดให้กับแฟนหงส์....เกือบโดนตีเสมอสองจังหวะจากลูกเตะมุม

    แต่สุดท้ายก็รอดตัว....ไม่ต้องถูกลากยาวไปเตะ 120 นาที

    ชมหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของนักเตะแมนฯซิตี้

    นี่ถ้าได้ 3-2 เร็วกว่านี้ รับประกันได้เลยว่า "น่าเสียวไส้แทน"

    ซาลาห์ "กริบ" ต่อเนื่อง

    รวมเกมนี้ก็ 843 นาที ที่ โม ยิงประตูจากโอเพ่น เพลย์ (ไม่นับจุดโทษ) ตลอด2 เดือน จากจังหวะยิง40 กว่าครั้ง เกมนี้ก็ถือว่าเขามีส่วนร่วมกับทีมพอตัว แต่ไม่โดดเด่นอะไรเมื่อเทียบ มาเน หรือดิอาสในแนวรุก

ปัจจัยในการส่งลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศด้วยการปราบคู่ปรับยุคนี้อย่างแมนฯซิตี้

1 สภาพทีมเรือใบ



    ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบาดเจ็บของ ไคล์ วอล์คเกอร์ และสภาพที่ไม่สมบูรณ์ของ เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนในการวางแผนก่อนเจอลิเวอร์พูล บวกกับการที่ เป๊ป เลือกใช้งานโครงสร้างหลักของทีม11 คนแรกแบบปรับทีมน้อยมากเหมือนกัน จากเกมชนะแอตเลติโก มาดริด นัดแรก1-0 ต่อด้วยลิเวอร์พูล และแอต.มาดริด เกมสองในช.ป.ล ทั้งสามเกมนี้ เป๊ป เลือกใช้โครงหลังทั้งแบ๊กโฟร์,แดนกลาง แบร์นาโด ซิลวา, โรดริโก และ เดอ บรอยน์ ต่อเนื่อง
และมาเจอกันอีกใน เอฟเอ คัพ ทำให้การจัดตัวของ เป๊ป ไปตามสภาพทีมของเขา ซึ่งก็ไม่สมบูรณ์​ ตรงนี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่คือ "สภาพทีม" เป็นรอง

2 การจบสกอร์หงส์ "คม"



    ครั้งแรกได้ประตูคือจังหวะโหม่งของ โกนาเต มันคือการยิงประตูครั้งแรกแล้วได้เลย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเกมที่สูสี คุณภาพกันเช่นนี้ มันย่อมทำให้จังหวะจะโคนได้เปรียบ และประตูสองก็ตาม เช่นเดียวกันกับประตูที่สามของ มาเน นั้นเกิดจากการยิงครั้งที่ 4 ในครึ่งแรก

3 แดนกลางเรือเป็นรอง



    ทั้งการแย่งบอล เพรสแดนสองของนักเตะกองกลางเรือใบสีฟ้า เกมนี้เป็นรองชัดเจน แถมเสียบอลแดนกลางง่ายๆ อีกทั้ง แฟร์นานดินโญ กับ แบร์นาโด ซิลวา ก็ตัดฟาวล์ โฉ่งฉ่าง รุปเกมของซิตี้เลยไม่ต่อเนื่องในการทำเกมรุกตลอดครึ่งแรก และครึ่งหลังก็ยังเป็นแบบนั้น เพียงแต่สถานการณ์ท้ายเกมมันคือแรงกดดันของหงส์แดงเอง บวกกับคุณภาพของตัวสำรองที่เปลี่ยนลงมาอย่าง มาห์เรส ช่วยให้ได้3-2 ช่วงทดเวลา แต่ถ้าว่ากันถึงเกมแดนกลางของซิตี้แล้ว เป็นรองเห็นได้ชัด ซึ่งครึ่งหลังจุดนีเด็กหงส์ ไม่อาจใช้ความได้เปรียบลงโทษจากเกมที่ดีกว่า...แล้วปล่อยให้ตัวเองมาเหนื่อยช่วงห้านาทีสุดท้ายและช่วงทดเวลา

    การเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพของลิเวอร์พูลเป็นครั้งที่ 15

    โดยครั้งล่าสุดคือปี 2012

    เที่ยวนี้มันก็มีความหมายในมุมที่ว่า พวกเขายังคงอยู่ในเส้นทางของการคว้าแชมป์สามรายการในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้.....อันเป็น 4 แชมป์ประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ