[บ้านผลบอลเมื่อวาน]

เออร์ลิง ฮาแลนด์ หัวหอกฟอร์มฮอต มีเคล็ดลับเด็ดในการดูแลตัวเองให้แข็งแกร่งและเล่นฟุตบอลได้อย่างสุดยอด นั่นก็คือการดูแลเรื่องอาหาร โดยเจ้าตัวไม่แตะต้องของที่ไร้ประโยชน์แม้แต่นิดเดียว เหตุผลที่ทำแบบนั้นเนื่องจากเห็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำและสิ่งที่ "เฮียโด้" แสดงให้เห็นในปัจจุบันเป็นเครื่องการันตีว่านี่เป็นการเรื่องที่คุ้มค่าจริงๆ

     เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าจอมถล่มประตูชาวนอร์เวย์ "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มีเคล็ดลับเด็ดในการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่เจ้าตัวได้ต้นแบบมาจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

     ดาวยิงเจ้าของส่วนสูง 194 เซนติเมตร เป็นคนที่กินอาหารเหมือนกับหมี และหมาป่าโดยมักจะหม่ำปลากระโทงดาบ, ปลากระพง และปลากระพงขาวพร้อมกับผัก นอกจากนี้ยังกินไก่ และพาสต้าโดยที่ไม่ใส่เกลือหรือน้ำมันเลย

     นอกจากนี้ ฮาแลนด์ ยังชอบดื่มน้ำเปล่า และไม่กินขนมที่ใส่น้ำตาลรวมทั้งอาหารแช่แข็ง โดยเขาจะเลือกกินพวกอาหารสดเท่านั้น สำหรับเรื่องนี้ อัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์ พ่อของนักเตะ ซึ่งเคยเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงปี 2000-2003 เผยจุดเริ่มต้นที่ลูกชายหันมาดูแลเรื่องอาหาร



     "ผมเป็นคนที่มุ่งมั่นกับการแข่งขัน แต่ เออร์ลิง เป็นคนที่ทุ่มเทและเสียสละทุกอย่าง เขาออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16 ปี เพื่อไปเล่นกับ โมลด์ และเขามีความเป็นมืออาชีพมากกว่าผม เขาได้รับการบอกเล่าเรื่องราวจาก ปาทริซ เอวร่า เรื่องอาหารเที่ยงของเขาตอนที่ไปอยู่กับ (คริสเตียโน่) โรนัลโด้ ซึ่งมีแต่ปลาไม่มีอย่างอื่นเลย"

     "ตอนนี้ เออร์ลิง พยายามที่จะทำหลายๆ อย่างเหมือนกัน เพราะ โรนัลโด้ ยังคงเป็นนักเตะระดับสุดยอดในปัจจุบัน ดังนั้นมันแสดงให้เห็นว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่จะทำหลายๆ อย่างให้เหมาะสม" ฮาแลนด์ ซีเนียร์ ระบุ



     ขณะที่ "ดิ แอธเลติก" สื่อดังมาตรฐานสูง เผยว่า ฮาแลนด์ จ้างเชฟส่วนตัวเพื่อเสิร์ฟอาหารจำนวนกว่า 4,000 แคลอรี่ให้กับเขากินทุกๆ วัน ส่วนวันชีทเดย์ซึ่งไม่ค่อยมีมากนักนักเตะจะกินอาหารอินเดีย, เป็ด และไก่ผัดเปรี้ยวหวาน รวมทั้งเคบับด้วย

     "ผมชอบกินเคบับ (เนื้อ) ผมรักเลยละ" ฮาแลนด์ ซึ่งเตรียมย้ายจาก ดอร์ทมุนด์ ไปเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ หลังจบซีซั่นนี้ ด้วยค่าตัว 64 ล้านปอนด์ (ราว 2,816 ล้านบาท) กล่าว "แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะกินตลอดเวลานะ ผมคิดแค่สองครั้งต่อปีตอนที่ผมกลับไปบ้านเกิด ผมแทบไม่ได้กินมันเลย แต่มันยังคงเป็นอาหารสุดโปรดของผม"