เป็นอีกครั้งที่ฟุตบอลบอกกับเราว่ามันมีสองครึ่งเวลา

เริ่มโดย ผลบอลวันนี้, พ.ค 04, 2022, 04:29 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

ผลบอลวันนี้



เชื่อในสิ่งที่เห็นในครึ่งแรกได้ แต่อย่าด่วนตัดสินมันเด็ดขาดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างนั้น

    สิ่งแรกที่ผมมองเห็นในเกมระทึกใจที่ เอสตาดิโอ เด ลา เซรามิก้า คือการบริหารความสมดุลในเกม

    ทั้งของฝั่งลิเวอร์พูลและฝ่ายบียาร์เรอัล

    ในความกังวลกับรูปเกมและสกอร์ที่ออกมาในครึ่งแรก ผมตั้งคำถามไว้กับตัวเองว่า บียาร์เรอัล จะเอาแบบนี้จริงๆ หรือ

    การเล่นแบบวิ่งกดดันเข้าใส่ผู้มาเยือนตลอดเวลาตั้งแต่เสียงนกหวีดดังจนจบครึ่งแรกโดยไม่มีผ่อนคันเร่งเลย แน่นอนมันทำให้รูปเกมออกมาเป็นแบบนั้น นักเตะลิเวอร์พูลไม่มีเวลาหายใจหายคอตั้งหลักทำเกม แต่มันแลกมาด้วยพละกำลังที่ร่อยหรออย่างรวดเร็ว

    โดยปกติแล้วถ้าคุณจะเล่นเพรสซิ่งหนักๆ เข้าใส่คู่ต่อสู้ มันจะเกิดขึ้นเป็นช่วง ต้นครึ่งแรก กลางครึ่งแรก ปลายครึ่งแรก อาจจะทำสักช่วงหนึ่ง หรืออย่างมากก็สองช่วง

    มีผ่อน มีพัก เพราะคุณไม่สามารถมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำมันได้ตลอดทั้งเกม คล้ายยังมีขีดจำกัดทางร่างกายขัดขวางอยู่



    แต่บียาร์เรอัลบีบขึ้นสูง ไล่อัดแดนบนช่วงชิงจังหวะสองแบบไม่พัก เดินเครื่องเต็มสูบแบบไฮอ๊อกเทนจนหมดเวลาครึ่งแรกพร้อมเสียงปรบมือกึกก้องจากกองเชียร์ในสนาม

    แน่นอนครับ ในเกมสำคัญแห่งชีวิตมันอาจเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเห็นทีมที่มีก๊อกสอง สาม สี่ ห้า.. ลิเวอร์พูลในยูโรเปี้ยนไนท์ที่แอนฟิลด์ก็ทำให้เห็นอยู่บ่อยๆ

    เพราะฉะนั้นกับบียาร์เรอัล ผมจึงมีคำถามทิ้งเอาไว้ในใจช่วงพักครึ่ง กลับมาเตะกันต่อ พวกเขาจะทำได้อย่างเดิมไหม เพียงแต่สกอร์ 2-0 ที่เกิดขึ้นดึงทุกอย่างให้กลับมาเท่ากัน เจ้าถิ่นไม่จำเป็นต้องเล่นอย่างเดิมก็ได้ อาจกลับไปเล่นตั้งรับในแดนรอจังหวะ และนั่นจะเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลบ้าง

    ปัจจัยหลายอย่างประกอบกันนะครับ เมื่อ หลุยส์ ดิอาซ โหม่งประตูตีเสมอ 2-2 เข้าไป ความรู้สึกแวบหนึ่งผุดขึ้นมาว่า มันอาจเป็นโชคดีของลิเวอร์พูลก็ได้ที่จบครึ่งแรกด้วยการตามหลัง 2 ประตู ไม่ใช่ 1 ประตู

    เพราะหากบียาร์เรอัลลงสนามครึ่งหลังโดยที่ยังต้องการอีก 1 ประตูเพื่อตีเสมอในสกอร์รวม รูปเกมและโมเมนตัมที่ลิเวอร์พูลต้องเจออาจจะกลับไปเหมือนครึ่งแรกอีกครั้ง

    ก็แค่ความรู้สึกนะครับ ถ้าเลือกได้ อูไน เอเมรี่ ก็คงจะเลือกเอาสกอร์นำ 2-0 ไว้ก่อนอยู่แล้ว แต่ขอบอกเลยว่าความเข้มข้นในการเล่นของทีมคุณในครึ่งแรกนั้นน่ากลัวจริงๆ



    ผมคิดว่าในวิกฤติ เจอร์เก้น คล็อปป์ มองเห็นโอกาส

    จากความสุ่มเสี่ยงที่จะพบกับฝันร้ายแห่งเซรามิก้าและความหวาดหวั่นเสียขวัญของแฟนบอล เขาเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็น

    สกอร์ 2-0 และวิธีการเล่นของเอเมรี่ มีโอกาสที่เจ้าถิ่นจะผ่อนเกมเพรสซิ่งและเล่นแบบระวังตัวตั้งรับในแดนในครึ่งหลัง

    นั่นหมายความว่านักเตะของเขาจะมีเวลาเล่นกับบอลมากขึ้น ถูกกดดันเร่งเร้าน้อยลง จุดนี้เองที่เขากำชับให้ลูกทีมเน้นในทุกการออกบอล เพราะเกมจะกลับมาสู่ธรรมชาติของทีมอีกครั้ง นั่นคือครองบอลบุกเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่ระวัง

    จะน็อกลิเวอร์พูลเวลานี้ได้ ต้องเล่นแบบที่ บียาร์เรอัล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เล่นใน 45 นาทีแรกที่เด ลา เซรามิก้า และ เอติฮัด สเตเดี้ยม

    ต้องดุดันแบบนั้น เข้าถึงตัวรวดเร็วอย่างนั้น สมาธิไม่ตกพุ่งปรี่เข้าใส่แย่งบอลทุกจังหวะอย่างนั้นแบบที่บียาร์เรอัลทำ หรือไม่ก็ต้องควบคุมเกมตรงกลางให้ได้เบ็ดเสร็จด้วยคลาสของนักเตะและเน้นจี้จุดอ่อนแนวรับลอยสูงของลิเวอร์พูลทุกดอกแบบเน้นๆ อย่างที่ทีมเรือใบสีฟ้าแสดงให้เห็น



    สองรูปแบบนี้คุณน็อกลิเวอร์พูลนับสิบได้ แต่ปัญหาคือมันยากที่จะทำได้อย่างนั้นตลอด 90 นาที กับสภาพร่างกายที่มีขีดจำกัด และกับความเป็นจริงของฟุตบอลที่ว่ามันมีสองครึ่งเวลา เจอร์เก้น คล็อปป์ มีโอกาสแก้เกมในห้องแต่งตัว

    ยิ่งกับบียาร์เรอัลที่ขนาดทีมยังไม่ใหญ่พอทั้งยังมีปัญหานักเตะตัวหลักบาดเจ็บ คนที่ลงเล่นก็ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย โอกาสที่พวกเขาจะโหมลุยบดขยี้ได้อย่างในครึ่งแรกก็ยิ่งมีน้อยลง

    นั่นล่ะครับโอกาสที่คล็อปป์มองเห็น

    หลุยส์ ดิอาซ ถูกส่งลงมาเพื่อใช้ประสิทธิภาพการเลี้ยงกินตัวทำลายโซนป้องกันของบียาร์เรอัล ฮวน ฟอยธ์ แบ๊กขวาเจ้าถิ่นวิ่งขึ้นลงไม่หยุดตลอด 45 นาทีแรก แข้งขาถูกลดทอนกำลังลงไปมากไม่อาจมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมเหมือนเกมแรกที่ดวลกัน

    ในเกมแรกที่แอนฟิลด์พื้นที่เล่นส่วนใหญ่ของอดีตกองหลังสเปอร์สอยู่ในแดนตัวเอง วิ่งในพื้นที่ไม่กว้างมาก จึงไล่ล่าตามกัดไม่ปล่อยได้ตลอดทั้งเกมจนปีกโคลอมเบียเล่นไม่ออก แต่สถานการณ์ในเกมที่สองนั้นแตกต่างออกไป ครึ่งแรกฟอยธ์เติมไม่หยุดและมันส่งผลต่อพละกำลังในครึ่งหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคล็อปป์ยัด ดิอาซ ลงมาจี้ด้วยความสด

    แบ๊กทั้งสองฝั่งของบียาร์เรอัลใช้แรงเยอะเหมือนๆ กันในครึ่งแรกแต่ด้านซ้ายของ เปร์วิส เอสตูปิยาน นั้นมี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กดไว้อยู่แล้ว จะร้ายจะดีซาลาห์ก็ยังเป็นอาวุธอันตรายที่พร้อมลงโทษคู่ต่อสู้ได้เสมอ คล็อปป์จึงเลือกเปลี่ยนแค่ ดีโอโก้ โชต้า
    เพื่อใช้ประโยชน์จากสไตล์เลี้ยงจี้คุกคามของดิอาซ



   ไม่ใช่โชต้าเล่นไม่ออก แต่เป็นเหตุผลด้านแท็คติก เพราะไม่มีนักเตะลิเวอร์พูลคนไหนเล่นได้เลยในครึ่งแรกเมื่อเจอกับการใส่สุดเกินร้อยอย่างนั้นของบียาร์เรอัล

    แล้วมันก็เป็นผลจริงๆ ดิอาซคือหนึ่งในจุดพลิกผันสำคัญของเกมนี้ ตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์ที่เขาคว้ามาได้ทั้งที่เล่นแค่ 45 นาทีบ่งบอกทุกอย่างในตัว

    หลังจบเกมเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อเดือนที่แล้ว คล็อปป์พูดชัดเจนว่าขอบคุณที่ฟุตบอลมีสองครึ่งเวลา คราวนี้เขาก็คงรู้สึกคล้ายๆ กัน

    เป็นอีกครั้งที่ลิเวอร์พูลชุดนี้ทำให้แฟนบอลมีความสุขเหลือเกิน

    เยือกเย็น รับมือกับสถานการณ์ได้ดี เป็นผู้ใหญ่

    ความจริงแล้วมันเป็นหนึ่งในไม่กี่เกมที่เราได้เห็นลิเวอร์พูลเล่นผิดพลาดมากขนาดนั้นในครึ่งแรก แต่ผมอยากจะให้เครดิตการเล่นของ บียาร์เรอัล มากกว่า



    นักเตะทุกคนของบียาร์เรอัลพร้อมรบอย่างที่สุด เอเตียนน์ กาปู กับ ราอูล อัลบิโอล เป็นจอมทัพในแดนกลางกับหลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ การเข้าบอลทุกครั้งต้องได้ผล การตัดบอลทุกหนต้องมีความหมาย ทำให้เกมของลิเวอร์พูลถูกบดขยี้อย่างสิ้นเชิงเป็นความพ่ายแพ้แบบเอ๊าต์คลาส

    แต่ก็นั่นล่ะครับ เมื่อคุณเกหมดหน้าตักไปแล้วตั้งแต่ครึ่งทาง คุณก็ต้องรับมือกับมันให้ได้ในอีกครึ่งทางที่เหลือ และเพราะคุณต้องเจอกับคล็อปป์และนักเตะของคล็อปป์ คุณก็ยิ่งต้องเตรียมรับมือให้ดีกับสิ่งที่จะต้องเจอในครึ่งหลัง

    ผมคิดว่าเอเมรี่ตัดสินใจถูกแล้วที่ให้ลูกทีมเล่นบีบแดนบนเข้มข้นด้วยสปีดและสปรินท์อย่างนั้นตั้งแต่ครึ่งแรก เพราะโจทย์ของพวกเขายาก ต้องยิง 2 ประตูให้ได้เป็นอย่างน้อยไม่อย่างนั้นตกรอบสถานเดียว

    ในสถานการณ์อย่างนั้นไม่ใช่เรื่องผิดที่ตัดสินใจเสี่ยง แล้วไปวัดเอาด้วยก๊อกสอง สาม สี่ พร้อมเสียงเชียร์จากแฟนบอลในครึ่งหลัง

    แต่เมื่อรูปเกมของคุณเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลครองบอล ประสบการณ์คร่ำหวอดในเวทีนี้ของนักเตะหงส์แดงทำให้พวกเขาตั้งหลักกลับมาได้ ดึงสติและสมาธิให้อยู่กับเกม ฉีกเกมให้กว้างชิดเส้นข้าง ผ่านบอลให้แน่นอนขึ้น เข้าปะทะให้ถูกจังหวะขึ้น แล้วโอกาสจะเข้ามาหาเอง

    มันก็น่าเสียดายแทนที่บียาร์เรอัลที่ทำไม่ได้ แต่นั่นคือราคาที่ต้องแลกเมื่อคุณพบกับคู่ต่อสู้อย่างลิเวอร์พูลในเวลานี้ และเสียงปรบมือจากแฟนบอลทั้งสนามที่มีให้ขุนพลเรือดำน้ำสีเหลืองก็น่าจะบอกถึงความรู้สึกที่พวกเขามีต่อนักเตะของตัวเอง
ทำเต็มที่แล้ว ไขหมดก๊อกแล้ว แต่สู้ได้ดีที่สุดเท่านี้จริงๆ และไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย



    สำหรับลิเวอร์พูล ก็อย่างที่บอกไปนั่นล่ะครับ เป็นอีกครั้ง และอีกครั้ง และอีกครั้งที่พวกเขาทำให้แฟนบอลมีความสุขเหลือเกิน

    ทั้งดีใจ ปลาบปลื้ม มีความสุขเปี่ยมล้น

    ภาคภูมิใจในทีมที่ตัวเองรัก

    ไม่เคยยอมแพ้เลย และจะหาวิธีกลับมาได้เสมอ ด้วยความรอบคอบ ชาญฉลาด ด้วยรูปแบบ ด้วยสปิริต ด้วยหัวใจแห่งผู้ชนะ

    เสียงเพลง Fields of Anfield Road ดังกระหึ่มแทรกขึ้นมาแข่งกับเสียงตะโกนเชียร์จากแฟนบอลเจ้าถิ่น มันดังไม่แพ้กันจากจำนวนแฟนบอลที่น้อยกว่าหลายเท่า และตอนนั้นลิเวอร์พูลกำลังตามหลังอยู่สองประตู

    ในช่วงเวลาที่นักเตะต้องการกำลังใจที่สุด.. พวกเราอยู่ตรงนั้น ไม่เคยทิ้งกันไปไหน



    ผ่านงานอันหนักอึ้งและบีบหัวใจที่บียาร์เรอัลได้แล้ว ก้าวต่อไปคือด่านสุดท้ายแล้วล่ะครับ

    We're going to Paris..

    ปารีส.. เรามาแล้ว เราจะไปล่าแชมป์ยุโรปสมัยที่เจ็ดกันที่นั่น