หงส์เดินหน้าลุ้นคว้าสี่แชมป์,ท๊อฟฟี่ส่อแววตกชั้นสูง - 5 ข้อลิเวอร์พูลเขี่ยเอฟเวอ

เริ่มโดย ผลบอลวันนี้, เม.ย 25, 2022, 01:11 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

ผลบอลวันนี้



ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับศึก เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ครั้งที่ 240 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของ ลิเวอร์พูล ที่มีต่อ เอฟเวอร์ตัน 2-0 จากการฟาดแข้งที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย.

    จากสามแต้มที่ทีมเจ้าบ้านคว้ามาได้เท่ากับว่าสาวก หงส์แดง ยังได้ฝันจิกหมอนแบบฟินๆกันต่อสำหรับโอกาสการคว้าสี่แชมป์ของทีมรัก สวนทางกับ ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน ที่มีแววชะตาขาดไม่น้อยสำหรับซีซั่นนี้ และนี่คือ 5 ประเด็นที่ต้องพูดถึงในการพะบู๊กันของสองสโมสรร่วมเมือง

1.ลิเวอร์พูล ผ่านเกมยากได้สำเร็จ (อีกตามเคย)



    ต้องถือว่าผิดความคาดหมายเล็กน้อยสำหรับเกมต้อนรับ เอฟเวอร์ตัน เพราะไม่น่าเชื่อว่า หงส์แดง ซึ่งได้เล่นในบ้านแท้ๆจะมีเกมในครึ่งแรกที่ฝืดสนิท ไม่อาจส่งบอลเข้ากรอบทีมเยือนซึ่งอยู่ในโซนล่างของตารางได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

    แม้จะครองบอลได้เหนือกว่าลิบลับ แต่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กลับพบกับปัญหาในการสอยตาข่ายซึ่งเป็นเพียงนัดที่สองในซีซั่นนี้ที่ เครื่องจักรสีแดง ยิงบอลไม่เข้ากรอบเลยตลอด 45 นาทีแรกของการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ที่ แอนฟิลด์

    สำหรับคราวแรกที่พวกเขาประสบกับปัญหานี้เช่นกันเป็นเกมเปิดบ้านต้อนรับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อเดือนต.ค.ซึ่งลงเอยแล้วจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 จากสี่ประตูที่เกิดขึ้นในครึ่งหลังทั้งหมดโดยทีมเจ้าบ้านเป็นฝ่ายออกนำก่อนทั้งสองครั้งสองครา

    กระนั้นก็ดี สุดท้ายแล้ว คล็อปป์ พาทีมผ่านเกมยากได้สำเร็จอีกตามเคยเนื่องจากฟุตบอลมีสองครึ่ง เกมปะทะกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ แอนฟิลด์ ทั้งสองครึ่งเวลาจึงเป็นหนังคนละม้วนอย่างที่เห็น

2.ใครๆก็ยิงได้



    ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนฉันใด ลิเวอร์พูล ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วเช่นกันว่าพวกเขาเป็นทีมที่มีนักเตะพร้อมสอยตาข่ายฝ่ายตรงข้ามได้ทุกราย ใช่ว่าจะพึ่งพาแต่ดาวซัลโวอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซะที่ไหน

    อย่างในช่วงที่สตาร์ทีมชาติอียิปต์เท้าบอด ฟอร์มหล่นวูบ หงส์แดง ก็มีขุนพลรายอื่นๆที่พร้อมดาหน้าลั่นกระสุนใส่ทีมคู่แข่งได้ไม่ว่าจะเป็นบรรดากองหน้าด้วยกัน หรือแม้กระทั่งกองหลัง

    ดังจะเห็นว่าก่อนหน้านี้ อิบราฮิม่า โกนาเต้ พังประตูให้ทีมได้ติดๆกันอย่างน่าฮือฮา และในเกมล่าสุดที่สยบ เอฟเวอร์ตัน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก็กลายเป็นฮีโร่ปลดล็อคให้ทีม ก่อนที่ "เทพกี้"  ดิว็อค โอริกี้ จะลุกจากม้านั่งข้างสนามลงไปสอยตาข่ายให้ทีมได้เริงร่ากันอีกหน

    ต่อสองลูกโขกที่ปลิดชีพ ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน ส่งผลให้ เร้ด แมชีน กลายเป็นทีมที่พังประตูคู่แข่งด้วยลูกโหม่งใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้มากที่สุด 14 ประตูแล้วเช่นกัน

3.ลิเวอร์พูล เล่นบอลโยนยาวก็เป็น



    หลังจากมีเกมครึ่งแรกที่ฝีดสนิทเนื่องจาก เอฟเวอร์ตัน ตั้งรับกันเก้าคนอย่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมจนทำให้ ลิเวอร์พูล หาพื้นที่เข้าไปเจาะไข่แดงไม่ได้เลย

    ในที่สุด กุนซือชาวเยอรมันก็ปรับให้ทีมหันมาใช้บอลโยนยาวเล่นงานทีมเพื่อนบ้านแทนการต่อบอลตามช่องบนพื้นซึ่งเจอกับแท็คติกของ เอฟเวอร์ตัน เข้าไปจนทำอะไรไม่ถนัด และกลายเป็นว่าทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด อลหม่านกันอย่างเห็นได้ชัดนับจากนั้น

    เท่านั้นไม่พอ ลิเวอร์พูล ยังมีตัวเลือกมากมายซึ่งทำให้พวกเขามีอาวุธอยู่ในมือที่หลากหลายพร้อมถูกส่งลงไปพลิกเกมทุกเวลาอย่างนัดชนะ เอฟเวอร์ตัน ก็เป็นอีกหนที่ คล็อปป์ เปลี่ยนตัวสำรองอย่างได้ผลเนื่องจากให้หลังแค่สองนาที ทีมตราลูกอมก็ทำนบแตกจนได้จากการพังประตูของ โรเบิร์ตสัน

    และในที่สุด โอริกี้ ที่ชอบสอยตาข่าย เอฟเวอร์ตัน เป็นชีวิตจิตใจก็ซัดเม็ดที่หกของเขาจากสิบเกมใน เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ให้ทีมเจ้าบ้านได้ไชโยโห่ร้องกันแบบเต็มเสียง

4. เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ที่อาจขาดหายไป



    ก่อนเกมต้อนรับ เอฟเวอร์ตัน คล็อปป์ ระบุว่าเขาคงคิดถึงเกม เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ น่าดูหากเผอิญว่าหลังจบซีซั่นนี้ เอฟเวอร์ตัน จะตกจาก พรีเมียร์ลีก

    ขณะเดียวกัน หลังจากโขกประตูทีมร่วมเมืองได้ โรเบิร์ตสัน ก็ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า "แฟนบอลจะคิดถึงเกมนี้มากที่สุด ผมเชื่อว่าเกม 38 นัดในแต่ละซีซั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคุณสมควรได้รับอะไร และเราต้องรอดูกัน"

    "เอฟเวอร์ตัน จำเป็นต้องชนะเพื่อการอยู่รอด และผมมั่นใจว่าพวกเขาจะกลับมาได้"

    แต่ไม่ว่าสุดท้ายแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ความห่างของสองทีมร่วมเมืองในซีซั่นนี้มันบ่งบอกเสร็จสรรพว่าทั้งคู่อยู่กันคนละวรรณะแล้ว

    นั่นคือ ลิเวอร์พูล มีแต้มมากกว่า เอฟเวอร์ตัน 50 แต้มแล้ว (79-29) ซึ่งเป็นสถิติความห่างที่มากที่สุดของสองทีมลูกหนังแห่งเมอร์ซีย์ไซด์เทียบเท่ากับซีซั่น 2019/20 ที่ หงส์แดง ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปครอง ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน จบอันดับสิบสอง (99-49)

    ยิ่งไปกว่านั้น เกมล่าสุดของทั้งคู่ หงส์แดง ยังข่ม ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน แบบเบ็ดเสร็จอีกด้วยโดยพวกเขามีเปอร์เซนต์การครองบอลสูงลิบถึง 82.7% เป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้ ทีมเดียวเท่านั้นนับตั้งแต่มีระบบการบันทึกสถิติเป็นต้นมาโดย เรือใบสีฟ้า มีเปอร์เซนต์การครองบอล 83% ในเกมบู๊กับ สวอนซี เมื่อเดือนเม.ย.2018

    ขณะเดียวกัน เอฟเวอร์ตัน แพ้ในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้มากถึง 19 นัดแล้วซึ่งพวกเขาไม่เคยเละเทะแบบนี้มาก่อนเลยในการเล่นเกมลีกระบบ 38 นัด

5.การโกงความตายหนล่าสุดของ เอฟเวอร์ตัน



    ถอยเวลากลับไปในซีซั่น 1997/98 ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน ของกุนซือ โฮเวิร์ค เดนดัลล์ เคยหวิดตกชั้นมาแล้วโดยคราวนั้นพวกเขาต้องลุ้นจนตัวโก่งในนัดสุดท้ายของซีซั่นเลยทีเดียว

    10 พ.ค.1998 เอฟเวอร์ตัน ได้ลงเล่นเกมที่ชะตาที่ กูดิสัน พาร์ค ต้อนรับการมาเยือนของ โคเวนทรี โดยที่ต้องลุ้นผลของอีกสนามระหว่าง เชลซี กับ โบลตัน ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

    ลงเอยแล้วผลปรากฏว่า สิงห์บลูส์ กำชัย 2-0 ขณะที่ ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน เจ๊ากับ ช้างกระทืบโรง 1-1 จึงทำให้พวกเขารอดตายเหมือนควายขวิดโดยเก็บได้ 40 แต้มเท่ากับ โบลตัน แต่คว้าอันดับ 17 ของตารางด้วยผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าเท่านั้น ก่อนที่ เคนดัลล์ จะตัดสินใจลาออกทันทีโดยมี วอลเตอร์ สมิธ เข้ามารับงานแทน

    อย่างไรก็ดี เมื่อมองดูผลงานที่สาละวันเตี้ยลงของ เอฟเวอร์ตัน ในซีซั่นนี้ซึ่งกำลังสวนทางกับ เบิร์นลีย์ แบบสุดขั้ว แถมทีมของ แลมพาร์ด มีโปรแกรมที่น่าเป็นห่วงซะด้วย บางทีสาวก ลูกอม อาจต้องทำใจกันตั้งแต่เนิ่นๆแล้วล่ะ