เบนเซม่าชอบยิงหงส์!ย้อนรอย 8 เกม"ลิเวอร์พูล ฟัด เรอัล มาดริด"ในถ้วยบิ๊กเอียร์

เริ่มโดย ผลบอลวันนี้, พ.ค 06, 2022, 11:25 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

ผลบอลวันนี้



 เป็นที่ทราบกันแล้วว่า คู่ชิงฯ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2021/22 ที่จะฟาดแข้งกันที่สนาม สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม เป็นการดวลกันระหว่าง ลิเวอร์พูล แชมป์ 6 สมัย กับ เรอัล มาดริด แชมป์ 13 สมัย ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในเวทียุโรป และที่ผ่านมาเคยดวลกันในถ้วย "บิ๊กเอียร์" มาแล้ว 8 หน โดยที่สองในนั้นเป็นการเจอกันในรอบชิงชนะเลิศด้วย ว่าแล้วเรามาย้อนรอยการเจอกันของทั้งสอง เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องกันสักหน่อยดีกว่า (ข้อมูลจาก uefa.com)

 - ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด (รอบชิงฯ, 27 พ.ค. 1981)



     อลัน เคนเนดี้ ฟูลแบ็กเลือดผู้ดี ลุยเข้าไปยิงประตูชัยในนาทีที่ 81 ช่วยให้ "หงส์แดง" ผงาดคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่สาม (สมัยนั้นใช้ชื่อ ยูโรเปี้ยน คัพ) ขณะเดียวกัน บ็อบ เพสลี่ย์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นโค้ชคนแรกที่ได้แชมป์สามสมัยกับสโมสรเดียว โดยเกมดังกล่าวฟาดแข้งกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เช่นเดียวกันฤดูกาลนี้ เพียงแต่ครั้งนั้นเตะที่สนาม ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์

 - เรอัล มาดริด 0-1 ลิเวอร์พูล (รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก, 25 ก.พ. 2009)



     ยอสซี่ เบนายูน โหม่งบอลผ่านมือ อีเกร์ กาซียาส ในนาทีที่ 82 ช่วย ลิเวอร์พูล บุกไปโค่น เรอัล มาดริด ถึงสังเวียนแข้ง ซานติอาโก เบร์นาเบว ถือความได้เปรียบก่อนกลับมาเตะเลกสองที่ แอนฟิลด์

 - ลิเวอร์พูล 4-0 เรอัล มาดริด (รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง, 10 มี.ค. 2009)



     "หงส์แดง" กลับมาย้ำแค้นที่ แอนฟิลด์ โดย เฟร์นานโด ตอร์เรส ยิงขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 16 จากนั้นกัปตัน "เจิด" สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทำสองตุงในนาทีที่ 28 และ 47 ก่อนที่ อันเดรีย ดอสเซน่า แบ็กซ้ายชาวอิตาเลียน กดประตูปิดท้ายนาทีที่ 88 ซึ่งหลังจบเกม ฆวนเด้ รามอส กุนซือ เรอัล มาดริด ณ เวลานั้น ยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ดีเกินกว่าที่ทีมตนจะต้านทานได้

 - ลิเวอร์พูล 0-3 เรอัล มาดริด (รอบแบ่งกลุ่ม : 22 ต.ค. 2014)

     นี่คือชัยชนะเหนือ "หงส์แดง" ครั้งแรกของ เรอัล มาดริด ในถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรป โดยเกมดังกล่าวที่ แอนฟิลด์ ทีมเยือนได้ทั้งสามประตูตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นาทีที่ 23 ก่อนที่ คาริม เบนเซม่า เหมาอีกสองตุงในนาทีที่ 30 และ 41 ซึ่งเกมนั้น ลิเวอร์พูล คงเละกว่านี้ ถ้าไม่ได้ความหนึบของ ซิมง มิโญเล่ต์

 - เรอัล มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล (รอบแบ่งกลุ่ม : 4 พ.ย. 2014)



     เกมที่ ซานติอาโก เบร์นาเบว นัดนี้ เจ้าถิ่นได้ประตูชัยตั้งแต่นาทีที่ 27 จากการยิงระยะเผาขนของ คาริม เบนเซม่า ซึ่งบทสรุปรอบแบ่งกลุ่มครั้งนี้ เรอัล มาดริด จบที่อันดับหนึ่ง ส่วน ลิวอร์พูล ได้แค่ที่สาม ตกรอบ แต่ได้ไปลุยต่อในถ้วย ยูฟ่า ยูโรปา ลีก

 - เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล (รอบชิงฯ : 26 พ.ค. 2018)



     เกมชิงดำที่กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ถือเป็นเกมสุดช้ำสำหรับเหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" และเป็นค่ำคืนแห่งฝันร้ายสำหรับนายทวารที่ชื่อว่า ลอริส คาริอุส ที่ดันรีบขว้างบอลไปเข้าเท้า คาริม เบนเซม่า ก่อนที่บอลจะค่อยๆ กระเด้งย้อนกลับเข้าประตูไปในนาทีที่ 51 (เท่ากับว่า เบนเซม่า ยิงใส่ ลิเวอร์พูล รวม 4 ประตูแล้ว) แม้ ซาดิโอ มาเน่ ยิงให้ ลิเวอร์พูล ตีเสมอ 1-1 นาทีที่ 55 แต่ แกเร็ธ เบล ที่ลงสนามเป็นตัวสำรอง โชว์ลูกยิงโอเวอร์เฮดคิกสุดสวย ช่วย "ราชันชุดขาว" ขึ้นนำอีกครั้ง 2-1 ในนาทีที่ 63 และหลังจากนั้นในนาทีที่ 83 เรอัล มาดริด มาได้ประตูย้ำชัย 3-1 จากจังหวะที่ เบล เจ้าเก่า ลองยิงไกลแบบเต็มข้อด้วยเท้าซ้าย ซึ่งตอนแรกดูเหมือน คาริอุส จะป้องกันได้ แต่สุดท้ายนายประตูเลือดเบียร์ดันเอาไม่อยู่ ทำให้ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงมาดริดได้แชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 13



     เกมที่ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ สเตเดี้ยม นัดนี้ วินิซิอุส จูเนียร์ กับ มาร์โก อาเซนซิโอ จัดคนละตุงช่วย เรอัล มาดริด นำ 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก ทว่าเริ่มครึ่งหลังได้แค่ 6 นาที ลิเวอร์พูล ตีไข่แตกได้จากการยิงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อย่างไรก็ตาม แชมป์ยุโรป 13 สมัย มาได้ประตูย้ำชัย 3-1 ในนาทีที่ 65 จาก วินิซิอุส จูเนียร์ ซึ่งถือเป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้

 - ลิเวอร์พูล 0-0 เรอัล มาดริด (รอบก่อนรองฯ นัดสอง, 14 เม.ย. 2021)



     เกมเลกสองที่ แอนฟิลด์ จบลงแบบไร้สกอร์ โดยที่ เรอัล มาดริด เล่นเกมรับได้สุดแข็งแกร่ง ก่อนตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือก แต่ก็โดน เชลซี ทีมแชมป์ เขี่ยร่วง โดยพ่าย "สิงห์บลูส์" ด้วยสกอร์รวมสองนัด 1-3


Similar topics (2)