ข่าว:

เล่นบาคาร่าออนไลน์กับค่าย AE SEXY เซ็กซี่บาคาร่าเขาดีจริงๆนะ

หรือว่าเรากำลังฝันไป!

เริ่มโดย ผลบอลวันนี้, เม.ย 29, 2022, 02:05 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

ผลบอลวันนี้



Maybe I am dreaming..

    หรือบางทีผมอาจจะฝันไปก็ได้ ข่าวดีที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นกับแฟนบอลลิเวอร์พูลในตอนนี้กลับเกิดขึ้นจริงๆ

    ในเวลาที่แรงบันดาลใจยังคงล้นทะลัก วันที่แข้งขายังเต็มไปด้วยพลัง ช่วงสำคัญของฤดูกาลที่ทุกฝ่ายซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นลิเวอร์พูลพร้อมถลกแขนเสื้อขึ้นลุยเต็มที่

    มาเลย.. จะหนักแค่ไหนก็มา ไม่เคยกลัว เอาให้รู้กันไปสิวะ

    ในวันที่ลิเวอร์พูลยังคงอยู่บนเส้นทางการสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ได้แชมป์ลีก คัพ ลุ้นแชมป์เอฟเอ คัพ ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

    เพิ่งถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในแดงเดือด เพิ่งอัดเอฟเวอร์ตันในเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ เพิ่งกำชัยในรอบตัดเชือกเจ้ายุโรปเกมแรก

    นักฟุตบอลสมบูรณ์พร้อม ไม่ใช่แค่ 11 ตัวจริง แต่เป็นทั้งทีม ขุมกำลังเวลานี้ขุนพลเครื่องจักรสีแดงพร้อมลงสนามได้ทุกคน

    ในเวลาที่กำลังใจยังคงเต็มเปี่ยมกับภารกิจมหัศจรรย์ที่รออยู่ข้างหน้า จังหวะและไทม์มิ่งของลิเวอร์พูลก็ยังคงเลอเลิศ.. เหนือคำบรรยาย

    เจอร์เก้น คล็อปป์ ต่อสัญญา



    จะมีเวลาไหนที่ดีไปกว่านี้อีก ไอ้ที่มันกำลังดีอยู่แล้วก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก

    ต่อให้ไม่ใช่แฟนบอลลิเวอร์พูล.. ก็คงเข้าใจและสัมผัสได้ว่าเดอะค็อปดีใจแค่ไหน

    ความหวังยังเรืองรอง สมองยังคงโลดแล่น แล้วความกล้าหาญที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างอีกเล่า จะไปกันอีกกี่ย่านน้ำก็บอกมาเถิด เราพร้อมตะลุยไปด้วยเต็มที่

    ขอเพียงคนๆ นั้นคือคุณ..

    ในวันที่แฟนบอลลิเวอร์พูลแช่มชื่นกับข่าวดีที่สุด ผมอยากจะนำเอาบทความที่เคยแปลเรื่องที่เขาเคยเขียนเอาไว้เมื่อสองเดือนเศษหลังพาทีมเป็นแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2019 มาให้อ่านกันอีกครั้ง

    หลายช่วงหลายตอนนั้นเรารู้สึกคุ้นเคย คุ้นเคยว่ามันช่างเป็นมุมมองและแนวคิดในแบบที่เป็นเขาจริงๆ คล็อปป์ก็เป็นอย่างนี้มาเสมอ ชัดเจน จริงจัง บนความเรียบง่าย และมีอารมณ์ขัน

    อ่านกันในวันสบายๆ ครับ วันที่เราได้ตื่นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

    Maybe I am dreaming.. Maybe I am dreaming.. หรือบางทีผมกำลังฝันไป หรือว่าเรากำลังฝันไป คุณต่อสัญญากับเราจริงๆ



    Maybe I am dreaming

    เจอร์เก้น คล็อปป์ เขียนเอาไว้ในเว็บไซต์ The Players' Tribune เมื่อเดือนกันยายน 2019

    สองเดือนเศษหลังความสำเร็จที่มาดริด

    เขาเขียนถึงหลายๆ เรื่อง ชวนให้เราต้องอมยิ้มบ้าง ทึ่งบ้าง มีอารมณ์ร่วมตามไปด้วยบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความพยายามปลุกใจลูกทีมของตัวเองเมื่อครั้งอยู่ดอร์ทมุนด์ การสู้ชีวิตในวัยหนุ่ม คำพูดของเขาก่อนเกมกับบาร์เซโลน่า

    "ถ้าเราจะตกรอบ ก็ขอให้มันเป็นการตกรอบที่สวยงามที่สุดนะ"

    ใครจะรู้บ้างว่าในวินาทีที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เตะมุมให้ ดิว็อค โอริกี้ ลูกนั้น เขาจะไม่เห็นเหตุการณ์

    เขายังทิ้งท้ายไว้ถึงเรื่องเชิงสังคม กับโครงการที่นักฟุตบอลและคนในวงการลูกหนังร่วมแรงร่วมใจกัน

    ผมแปลบทความนี้เก็บเอาไว้พักใหญ่แล้ว รอวันที่จะได้โพสต์ เพื่อให้เราได้รู้จักเขามากขึ้น ได้ชื่นชมและดื่มด่ำร่วมไปกับบางเสี้ยวส่วนในชีวิตของเขา

    เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมผู้พาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี

    ------------------

    ผมอยากจะเริ่มต้นด้วยเรื่องชวนขายหน้าสักหน่อย เพราะบางครั้งผมเกรงว่าผู้คนภายนอกจะพากันมองพวกเรานักฟุตบอลและผู้จัดการทีมเป็นเหมือนพระเจ้าหรืออะไรทำนองนั้น

    ในฐานะที่เป็นชาวคริสเตียน ผมเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวและผมขอยืนยันกับคุณได้เลยว่าพระองค์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟุตบอลเลยสักนิด

    ความจริงก็คือเราทุกคนต่างก็เคยล้มเหลว ผมเองเมื่อครั้งยังเป็นผู้จัดการทีมหนุ่มก็เช่นกัน ผมล้มเหลวบ่อยจะตายไป

    นี่คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น



    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ของผมมีโปรแกรมเตะกับบาเยิร์น มิวนิค มันคือเกมบิ๊กแมตช์ของฤดูกาล เราไม่เคยบุกไปชนะที่มิวนิคมาร่วม 20 ปีได้มั้ง

    ตัวผมเองมีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง และเมื่อผมคิดถึงการกระตุ้นลูกทีมผมก็มักจะคิดถึง ร็อกกี้ บัลบัว

    ในความคิดของผม ทุกโรงเรียนบนโลกนี้ควรฉายหนังเรื่อง ร็อคกี้ ทั้งภาค 1, 2, 3 และ 4 ให้เด็กนักเรียนได้ดู บรรจุลงไปในหลักสูตรเลยให้เหมือนการเรียนรู้พยัญชนะ เพราะถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วคุณไม่อยากออกผจญภัยต่อสู้อุปสรรค ผมคิดว่าคุณคงผิดปกติแล้วล่ะ

    ดังนั้นในคืนก่อนที่เราจะเตะกับบาเยิร์น ผมเรียกลูกทีมทุกคนมาประชุมทีมร่วมกันที่โรงแรม พวกเขานั่งลง ไฟถูกดับ แล้วผมก็เริ่มพูดกับพวกเขาด้วยประโยคแรก

    "ครั้งสุดท้ายที่ดอร์ทมุนด์ชนะในมิวนิค พวกนายหลายคนยังแบเบาะอยู่เลย"

    แล้วจากนั้นผมก็กดเล่นฉายบางฉากจากหนังเรื่อง ร็อคกี้ 4 แน่นอนมีฉากของ อีวาน ดราโก้ (ยอดแชมป์โลกชาวโซเวียตคู่ปรับของร็อคกี้ในภาพยนตร์) ด้วย

    มันคลาสสิกสุดๆ ไปเลยในความคิดผม

    ดราโก้วิ่งอยู่บนลู่วิ่ง ปล่อยหมัดฮุกแล้วมีจอคอมพิวเตอร์หลายจอประมวลผล นักวิทยาศาสตร์กำลังวิจัยร่างกายของเขา

    ผมจำได้ไม่ลืม ผมบอกกับลูกทีมว่า "พวกนายเห็นมั้ย บาเยิร์น มิวนิคก็คือ อีวาน ดราโก้ เก่งที่สุดในทุกๆ ด้าน เทคโนโลยีที่ดีที่สุด เป็นเครื่องจักรสังหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีใครต้านทานเขาได้!"

    แล้วคุณก็เห็นฉากการฝึกซ้อมของร็อคกี้ในกระท่อมไม้เล็กๆ ในไซบีเรีย เขาผ่าฟืนและแบกซุงท่อนใหญ่ๆ ลุยฝ่าหิมะวิ่งขึ้นภูเขา

    แล้วผมก็บอกกับเด็กๆ ว่า "แล้วก็นี่ พวกนายดูสิ นั่นแหละเราล่ะ พวกเราคือร็อคกี้ ใช่แล้วตัวเราเล็กกว่า แต่สิ่งที่เรามีคือแพสชั่น! เรามีหัวใจของแชมเปี้ยน! เราสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้!!!"



    ผมปลุกเร้าพวกเขาเต็มที่และพูดกระตุ้นพวกเขารัวๆ จนถึงจุดหนึ่งผมก็แอบสังเกตดูปฏิกิริยาจากพวกเขา ผมคิดว่าคงได้เห็นพวกเขาผุดขึ้นยืนบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน พร้อมที่จะออกไปปีนเขาที่ไซบีเรียตอนนั้นเลย

    แต่ทุกคนกลับยังนั่งอยู่กับที่ มองผมด้วยสายตาเย็นชา

    ว่างเปล่าเป็นบ้า

    จืดสนิท

    พวกเขามองดูผมเหมือนกับจะบอกว่า นี่เรียกพวกผมมานั่งดูอะไร ไหวมั้ยเนี่ยเจ้านาย?

    ถึงตอนนั้นผมจึงเอะใจ - เดี๋ยวก่อนนะ หนังเรื่องร็อคกี้ภาค 4 มันออกมากี่ปีแล้ว เอ.. น่าจะสักปี 1980 ได้มั้ง แล้วเด็กๆ พวกนี้เกิดกันหรือยัง?

    ในที่สุดผมก็บอกกับพวกเขาว่า "แป๊บนะพวก ในที่นี้ใครรู้จัก ร็อคกี้ บัลบัว บ้างยกมือขึ้นหน่อยซิ"

    มีคนยกมือแค่ 2 คน เซบาสเตียน เคห์ล กับ พาทริค โอโวโมเยล่า

    ส่วนคนอื่นๆ น่ะเหรอ "ฮื้อ.. ไม่อะบอส ใครเหรอ"

    สรุปว่าไอ้ที่ผมพล่ามไปทั้งหมดไม่มีความหมายอะไรเลย! นี่คือเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาล บางทีอาจจะสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาบางคนด้วย แต่เจ้านายของพวกเขากลับตะโกนโหวกเหวกเกี่ยวกับเทคโนโลยีโซเวียตและไซบีเรียอยู่ 10 นาทีเต็มๆ! ฮ่าๆๆ คุณว่ามันตลกมั้ยล่ะ

    ผมจึงต้องเริ่มพูดปลุกใจลูกทีมใหม่ทั้งหมด

    คุณเห็นไหม นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ เราต่างก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ บางครั้งเราก็ทำอะไรที่น่าอับอาย แต่ชีวิตมันก็อย่างนี้ เราคิดว่าเราเพิ่งจะพูดสุนทรพจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ทว่าความจริงมันคือถ้อยคำงี่เง่าที่ไม่มีความหมายอะไรเลยต่างหาก

    แต่คิดอะไรมาก พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว และเราก็เริ่มลุยกันใหม่อีกครั้งก็แค่นั้น

    คุณรู้ไหมว่าส่วนที่แปลกประหลาดที่สุดของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน?

    ผมจำไม่ได้แน่นอนว่าเราชนะหรือแพ้ในเกมนั้น แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมพูดเรื่องนี้ในปี 2011 และสุดท้ายเราชนะ 3-1 นั่นทำให้เรื่องนี้ค่อยยังชั่วขึ้นมาก แต่ก็นะ ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่

    นี่คือหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลที่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ



    ผลการแข่งขัน.. คุณอาจลืมได้ เพราะในหัวคุณคิดอะไรวุ่นวายอยู่เรื่อย

    แต่เด็กๆ ของผม และช่วงเวลานั้นของผม รวมถึงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น ผมไม่เคยลืมมันเลย

    ผมได้รับเกียรติให้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าเมื่อคืนนี้ แต่ผมไม่เคยอยากยืนบนเวทีคนเดียวพร้อมกับรางวัลเลย เพราะความสำเร็จทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นไปได้เพราะทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวผมทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่ลูกทีมของผมเท่านั้น หากยังเป็นครอบครัวของผม ลูกชายของผมและทุกๆ คนที่อยู่กับผมมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรเลย

    ด้วยความสัตย์จริง ถ้าย้อนกลับไปตอนที่อายุ 20 ปี แล้วมีใครบอกกับผมว่าชีวิตของผมหลังจากนี้จะเจอกับอะไรบ้างผมคงไม่เชื่อเด็ดขาด ต่อให้ ไมเคิ่ล เจฟ็อกซ์ ย้อนเวลาจากอนาคตมายืนยันกับผมด้วยตัวเองผมก็ยังไม่เชื่อ

    ตอนที่ผมอายุ 20 ผมเจอเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง ผมยังเป็นเด็กอยู่เลย แต่ผมกำลังจะกลายเป็นพ่อคน จังหวะเวลาเลวร้ายมากพูดกันตรงๆ ตอนนั้นผมยังเป็นนักฟุตบอลระดับสมัครเล่น เรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยควบคู่ไปด้วย

    ผมทำงานเสริมที่โกดังเก็บฟีล์มภาพยนตร์สำหรับโรงหนังเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม เวลานั้นดีวีดีเป็นยังไงไม่มีใครรู้จัก มันเป็นยุคปลายทศวรรษที่ 80 ที่ทุกอย่างยังเก็บบันทึกเป็นม้วนฟีล์ม

    รถบรรทุกจะมาขนหนังใหม่ไปโรงภาพยนตร์ทุกวันตอน 6 โมงเช้า เราต้องขนออกและบรรจุกล่องโลหะใหญ่ยักษ์เหล่านั้นเข้าออก มันหนักเป็นบ้าเลย และคุณต้องคอยภาวนาว่าอย่าได้เจอหนังยาวๆ อย่าง เบน-เฮอร์ ที่ต้องใช้ฟีล์มถึง 4 ม้วนซึ่งจะทำให้วันนั้นของคุณเป็นฝันร้ายเชียวล่ะ

    ผมจะนอนแค่ 5 ชั่วโมงในทุกคืนแล้วตื่นแต่เช้าไปโกดัง จากนั้นก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย พอตอนค่ำก็ไปซ้อมบอล กลับบ้าน เล่นกับลูกชาย มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากนะ แต่มันสอนผมว่านี่แหละชีวิตจริง

    ผมกลายเป็นคนจริงจังตั้งแต่วัยรุ่น เพื่อนๆ มักจะโทรมาชวนผมไปผับตอนดึกซึ่งทุกอณูในร่างกายของผมอยากจะตะโกนตอบกลับไปว่า "ได้เลย เดี๋ยวเจอกัน!" แต่แน่นอนว่าผมไปไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เด็กทารกไม่สนใจหรอกว่าคุณจะเหนื่อยแค่ไหนหรืออยากจะหลับยาวไปถึงเที่ยงเพียงไร

    เมื่อคุณมีอนาคตของลูกตัวน้อยๆ ที่คุณนำเขามาสู่โลกใบนี้ให้ต้องกังวล นั่นแหละคือความกังวลที่แท้จริง คือความลำบากที่ชัดแจ้ง เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามฟุตบอลนั้นกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย



    บางครั้งคนก็ถามผมว่าทำไมผมถึงยิ้มอยู่เรื่อย กระทั่งบางเกมที่ทีมของเราแพ้ผมก็ยังยิ้ม ก็เพราะว่าในวันที่ลูกชายผมลืมตาดูโลก ผมก็ได้รู้ว่าฟุตบอลไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอีกต่อไป ชีวิตของเราก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี

    ฟุตบอลไม่ควรเป็นสิ่งเผยแพร่ความลึกลับหรือเกลียดชัง ฟุตบอลควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจและความเบิกบาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ

    ผมได้เห็นว่าลูกบอลลูกเล็กๆ นั้นมีความหมายกับชีวิตของนักเตะของผมมากมายแค่ไหน คุณลองไปดูเส้นทางผจญภัยของโม ซาลาห์ ซาดิโอ มาเน่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และคนอื่นๆ อีกมากมายดูสิแล้วคุณจะเห็นความน่าเหลือเชื่อ

    อุปสรรคหนักๆ ที่ผมเจอมาในวัยหนุ่มที่เยอรมันก็ยังเทียบไม่ได้สักนิดกับเส้นทางที่พวกเขาผ่านมา มันมีช่วงเวลามากมายจริงๆ ที่ทำให้พวกเขายอมแพ้ได้ แต่พวกเขาไม่เคยยอมแพ้เลย

    พวกเขาไม่ใช่พระเจ้าหรอกครับ พวกเขาก็เป็นแค่คนที่ไม่เคยละทิ้งความฝันของตัวเอง

    ผมคิดว่า 98% ของฟุตบอลคือการจัดการกับความล้มเหลว การที่ยังสามารถยิ้มสู้ได้และมองหาความเบิกบานในเกมให้เจอในวันรุ่งขึ้น

    ผมได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ๆ ผมไม่เคยลืมครั้งแรกสุดเลย ผมรับงานที่คุมทีมไมนซ์เมื่อปี 2001 หลังจากเป็นผู้เล่นให้พวกเขามา 10 ปี ปัญหาก็คือลูกทีมทั้งหมดของผมยังคงเป็นเพื่อนของผม แล้วเพียงชั่วข้ามคืนผมก็กลายมาเป็นเจ้านายของพวกเขาและพวกเขาก็ยังเรียกผมว่าคล็อปโป้เหมือนเดิมอยู่เลย

    เมื่อผมต้องประกาศรายชื่อนักเตะตัวจริงชุดแรกของผม ผมก็คิดว่ามันจะดีกว่าถ้าหากผมไปบอกพวกเขาแต่ละคนด้วยตัวเอง

    แต่รู้ไหม มันคือวิธีการที่แย่สุดๆ เพราะห้องที่เราพักเป็นห้องเตียงคู่

    คุณคงนึกภาพออกใช่ไหม คุณเข้าไปที่ห้องแรก นักเตะสองคนนั่งอยู่บนเตียง ผมหันไปบอกกับคนแรกว่า "นายเป็นตัวจริงเกมพรุ่งนี้"

    แล้วผมก็ต้องหันไปบอกกับคนที่สอง "เสียใจด้วยจริงๆ เกมพรุ่งนี้นายจะไม่ได้เป็นตัวจริง"

    ผมได้รู้ซึ้งว่าวิธีการของผมมันงี่เง่าแค่ไหนก็ตอนที่ลูกทีมคนที่สองมองหน้าผม จ้องตาตรงๆ แล้วถามว่า "แต่.. คล็อปโป้.. ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?"



    ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะไม่มีคำตอบให้เขา คำตอบที่จริงแท้มีเพียงแค่ว่า "เราส่งตัวจริงได้แค่ 11 คน"

    ผมโชคร้ายที่ต้องทำอย่างนี้ต่อไปอีก 8 ครั้ง นักเตะ 18 คนในห้องเตียงคู่ 9 ห้อง นักเตะ 2 คนนั่งบนเตียง "นายได้เล่น.. นายไม่ได้เล่น"

    และทุกครั้งจะมีคำถามกลับมาเสมอ "แต่.. คล็อปโป้.. ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?"

    ฮ่าๆๆๆ มันน่าขมขื่นออกนะครับ

    นี่คือครั้งแรกในจำนวนเหตุการณ์อีกมากมายที่ผมต้องเจอกับด้านบ้าๆ ของการเป็นผู้จัดการทีม แต่คุณจะทำอะไรได้อีกเล่านอกจากพยายามลืมและเรียนรู้มัน

    ถ้าคุณยังไม่เชื่อผม งั้นลองคุยกันเรื่องนี้ แม้กระทั่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมในชีวิตการเป็นผู้จัดการทีม มันก็ยังมีจุดเริ่มต้นจากหายนะ

    แพ้บาร์เซโลน่ามา 0-3 ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้วคือผลการแข่งขันที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ ตอนที่เราเตรียมตัวสำหรับเกมที่สอง การพูดก่อนเกมของผมนั้นตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลย

    ไม่มีร็อคกี้อีกแล้วในคราวนี้ ส่วนใหญ่ผมพูดเรื่องเกี่ยวกับแท็คติก แต่ผมก็บอกพวกเขาถึงความเป็นจริงด้วย "เราจะลงไปเล่นโดยที่ไม่มีหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกถึง 2 คน ใครๆ ก็บอกว่าเราไม่มีโอกาสหลงเหลืออีกแล้ว และว่ากันตามตรงเลยนะ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ แต่เพราะมันเป็นพวกคุณ.. เพราะมันเป็นพวกคุณ เราจึงยังมีโอกาส"

    ผมพูดออกไปตามที่ผมเชื่อจริงๆ มันไม่เกี่ยวกับความสามารถด้านแท็คติกในฐานะนักฟุตบอลของพวกเขา มันคือเรื่องของความเป็นคน การฝ่าฟันอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตจริง

    มีอีกเรื่องเดียวที่ผมพูดเพิ่มไปหลังจากนั้น "ถ้าเราจะตกรอบ ก็ขอให้มันเป็นการตกรอบที่สวยงามที่สุดนะ"

    แน่นอนครับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ผมจะพูดประโยคเหล่านี้ออกมาได้ ผมก็เป็นแค่ผู้ชายที่ตะโกนเย้วๆ อยู่ข้างสนาม พวกนักเตะต่างหากที่ทำงานหนักกว่าตั้งหลายเท่า แต่เป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้น เป็นเพราะเสียงเชียร์จาก 54,000 ชีวิตในแอนฟิลด์ เราจึงทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้

    ความสวยงามของเกมฟุตบอลก็คือคุณไม่อาจทำมันได้ทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ทุกอย่างจริงๆ เชื่อผมเถิด

    โชคร้ายที่สุดก็คือในช่วงเวลาที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมกลับไม่ได้เห็นมันกับตา จะเป็นการพูดเปรียบเปรยเกี่ยวกับชีวิตผู้จัดการทีมหรืออะไรก็ตามเถอะ แต่ผมไม่ได้เห็นวินาทีแห่งอัจฉริยะโดยแท้ของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จริงๆ



    ผมเห็นบอลออกหลังเป็นลูกเตะมุม

    ผมเห็นเทรนท์วิ่งไปเป็นคนเตะ แล้วก็เห็นชากิรี่วิ่งตามเขาไป

    แล้วผมก็หันหลังกลับเพื่อเตรียมจัดการเรื่องเปลี่ยนตัว ผมคุยกับผู้ช่วย แล้วจากนั้นคุณก็คงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทุกวันนี้เวลาที่คิดถึงเหตุการณ์นั้นผมยังขนลุกทุกที เพราะสิ่งที่ผมได้ยินคือเสียงที่ดังกึกก้องกัมปนาท

    ผมรีบหันไปดูในสนาม ทันเห็นบอลลอยกระทบตาข่าย

    ผมหันกลับไปที่ม้านั่งข้างสนามของเราอีกครั้งแล้วมองหน้า เบน วู้ดเบิร์น เขาถามผมว่า "เกิดอะไรขึ้นครับ?"

    ผมตะเบ็งตอบเขาไปว่า "ไม่รู้เลย!"

    แล้วแอนฟิลด์ก็ - บูม - มันเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ผมไม่ได้ยินที่ผู้ช่วยของผมพูดเลย เขากำลังตะโกนถามว่า "เราจะยังเปลี่ยนตัวอยู่รึเปล่า?"

    ฮ่าๆๆๆๆ ผมจะไม่มีวันลืมประโยคที่เขาถามผมเลย มันจะติดอยู่กับผมตลอดไป

    คุณจินตนาการได้ไหม? 18 ปีบนถนนของการเป็นผู้จัดการทีม ล้านๆ ชั่วโมงที่หมดไปกับการดูเกม แต่ผมกลับพลาดเสี้ยววินาทีที่บ้าบอที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในเกมฟุตบอล นับตั้งแต่คืนนั้น ผมย้อนดูประตูของดิว็อคกลับไปกลับมาอีกสัก 500,000 ครั้งได้มั้ง แต่ในวินาทีจริงๆ ผมได้แค่เห็นบอลลอยกระทบตาข่าย

    เมื่อผมกลับเข้าไปในห้องเก็บรองเท้าเล็กๆ หลังจบเกม ผมไม่ได้จิบเบียร์สักหยด ไม่ได้ต้องการมันเลย ผมแค่นั่งอยู่เงียบๆ กับขวดน้ำขวดหนึ่งแล้วก็ยิ้ม มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สามารถอธิบายออกมาได้เป็นคำพูด และเมื่อผมกลับถึงบ้านก็พบว่ามีเพื่อนๆ และคนในครอบครัวไปรวมตัวกันรอผมอยู่ที่นั่นแล้ว ทุกคนต่างก็อยู่ในอารมณ์ปาร์ตี้ แต่ผมเหนื่อยมากจริงๆ ผมตรงดิ่งไปยังห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วก็ปิดสวิตช์ตัวเอง

    มันคือการหลับที่วิเศษที่สุดในชีวิตของผม

    ช่วงเวลาที่งดงามต่อมาก็คือเมื่อผมตื่นขึ้นในตอนเช้าแล้วรู้สำนึกอยู่เต็มเปี่ยมว่า มันคือเรื่องจริง มันเกิดขึ้นจริงๆ

    สำหรับผมแล้ว ฟุตบอลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรามากกว่าการไปโรงหนัง ยิ่งเมื่อคุณตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าความมหัศจรรย์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือเรื่องจริง คุณน็อคเจ้าดราโก้ได้จริง มันอยู่ตรงหน้าเลย

    ผมคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เมื่อเราแห่ถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกไปตามท้องถนนของเมืองลิเวอร์พูล ผมไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้เลย พวกเราอยู่กันบนรถบัส และทุกครั้งที่เราคิดว่าขบวนพาเหรดน่าจะสุดลงตรงนี้ตรงนั้น แต่พอรถเลี้ยวโค้งเราก็จะเห็นฝูงคนในเมืองลิเวอร์พูลอีกมหาศาลรออยู่เต็มไปหมดเสมอจนเหมือนกับว่าขบวนพาเหรดนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด น่าเหลือเชื่อมั้ยล่ะ



    ถ้าคุณสามารถบรรจุอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดในวันนั้น ความตื่นเต้นทั้งมวลในวันนั้น และความรักที่ล่องลอยอยู่ในอากาศวันนั้นได้ โลกใบนี้จะน่าอยู่ขึ้นอีกมากเลย

    ผมไม่อาจสลัดความรู้สึกที่มีในวันนั้นออกไปจากหัวได้ ฟุตบอลมอบอะไรให้ผมมากมายเหลือเกิน แต่ผมก็อยากจะทำอะไรอีกมากเพื่อตอบแทนกลับคืนสู่โลกด้วยเช่นกัน มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมที่จะพูดว่าโอเค ได้อยู่แล้ว แต่คุณจะทำให้ความแตกต่างเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ตลอดปีที่ผ่านมาผมประทับใจมากที่ได้เห็น ฆวน มาต้า มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ เมแกน ราปิโนต์ และนักฟุตบอลอีกหลายคนเข้าร่วมโครงการ Common Goal คุณอาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมบอกได้เลยว่านี่คือเรื่องที่เจ๋งมาก นักฟุตบอลมากกว่า 120 คนบริจาครายได้ 1% ของตัวเองให้กับองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ด้านฟุตบอลทั่วโลก

    เงินสนับสนุนจากพวกเขาได้ช่วยโครงการฟุตบอลเยาวชนในแอฟริกาใต้ ซิมบับเว กัมพูชา อินเดีย โคลอมเบีย สหราชอาณาจักร เยอรมัน และอีกหลายๆ ประเทศ แล้วก็ไม่ใช่แค่นักฟุตบอลที่มีรายได้มหาศาลเท่านั้น นักฟุตบอลหญิงในทีมตัวจริงของทีมชาติแคนาดาทั้ง 11 คนก็เข้าร่วมด้วย และยังมีนักฟุตบอลจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สกอตแลนด์ เคนยา โปรตุเกส อังกฤษ กานา ฯลฯ

    คุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับกิจกรรมนี้น่ะหรือ นี่แหละคือสิ่งที่สังคมฟุตบอลเป็น

    ผมอยากจะมีส่วนร่วมในโครงการนี้ด้วย เพราะฉะนั้นผมจึงขอบริจาคเงิน 1% จากรายได้ตลอดทั้งปีของตัวเองให้กับ Common Goal เช่นกัน และหวังว่าผู้คนในวงการฟุตบอลอีกหลายๆ คนทั่วโลกจะเข้าร่วมกับมันเหมือนผม

    พูดกันตามตรงนะครับ พวกเรานี้โชคดีมหาศาลแล้วและมันก็ควรจะเป็นความรับผิดชอบของเราในฐานะคนที่ได้รับโอกาสมากกว่าได้มอบบางสิ่งบางอย่างกลับไปให้กับเด็กๆ ทั่วโลกที่ต้องการโอกาสในชีวิต

    เราต้องไม่ลืมว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้าเราเจอกับปัญหาจริงๆ โลกที่เราอยู่มันไม่ใช่โลกจริง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสนามฟุตบอลนั้นไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงเลย ฟุตบอลจึงควรจะมีเป้าหมายอะไรที่ใหญ่และจริงจังกว่าแค่รายได้และถ้วยรางวัลถูกไหม

    ลองคิดดูว่าถ้าเราต่างร่วมแรงร่วมใจกันบริจาครายได้ 1% ของตัวเอง มันจะก่อให้เกิดความแตกต่างด้านบวกกับโลกใบนี้มากแค่ไหน

    บางทีผมอาจจะไร้เดียงสานะ บางครั้งก็เหมือนผมเป็นชายวัยกลางคนที่ช่างฝัน

    แต่เกมนี้เราเล่นเพื่อใคร

    เราต่างก็รู้กันดีไม่ใช่หรือว่า มันมีไว้สำหรับคนช่างฝันทุกคน

    ------------------

    ครึ่งปีผ่านไปหลังจากบทความชิ้นนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ พาลิเวอร์พูลสลัดความฝันสู่ความจริง

    The magic was all real อีกครั้ง

    มันคือความจริง เกิดขึ้นแล้วจริงๆ