(https://static.siamsport.co.th/column/2022/04/12/column202204121023863.jpg)
วินาทีที่เห็น ริยาด มาห์เรซ ล็อกเข้าซ้ายลูกนั้น.. ใจผมหล่นไปที่ตาตุ่ม
แม้มันจะเกิดขึ้นในครึ่งหลังที่เกมกลับมาดีขึ้นกว่าครึ่งแรกแล้วก็ตาม แต่มันก็เป็นวินาทีชี้เป็นชี้ตายนาทีสุดท้ายของช่วงทดเวลา
ถ้าโดนยิงเข้าไปก็แพ้เลย กลับเมอร์ซี่ย์ไซด์มือเปล่าไม่มีคะแนนติดกลับไปด้วย
มันเป็นหนึ่งในโอกาสมากมายที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โยนทิ้งในเกมหยุดโลกที่เอติฮัด สเตเดี้ยม
เป็น 90 นาทีที่ทีมเรือใบสีฟ้าทำให้เห็นว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงยังคงเป็นเต็งหนึ่ง
เป็น 90 นาทีที่ซิตี้ทำให้เห็นว่าแม้กระแสและข่าวสารต่างๆ ในโลกโซเชียลจะเป็นของลิเวอร์พูลแทบทั้งหมด แต่ทีมที่ด้อยกว่าด้านเกียรติประวัติความสำเร็จอย่างพวกเขานี่แหละที่เป็นเบอร์หนึ่งในปัจจุบัน
เกมแน่น แม่นยำ เซนส์ฟุตบอลสูง เล่นงานจุดบกพร่องของคู่ต่อสู้ นักเตะเกรดเอ และโค้ชที่ฉลาดไม่เคยหยุดเรียนรู้พัฒนาตัวเอง
เป็น 90 นาทีที่แม้จะเอาชนะ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้ แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ไม่ใช่ผู้แพ้แน่ เสียงตีมือฉาดใหญ่ของทั้งคู่หลังจบเกมแสดงถึงการยอมรับซึ่งกันและกันอย่างที่สุด
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1390789719-594x594(1).jpg)
กระนั้น.. เบอร์หนึ่งก็ใช่ว่าจะไม่มีวันหล่นมาเป็นที่สอง การเอาชนะลิเวอร์พูลไม่ได้ในเกมที่ตัวเองมีโอกาสมากมายนี่แหละอาจเป็นการเปิดช่องให้แล้วสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ผลเสมอในเกมนี้คือการเสียสองคะแนนสำหรับซิตี้ และเป็นหนึ่งแต้มใหญ่ของลิเวอร์พูล
มันเป็นอย่างนั้นชัดเจน
ซิตี้ลงโทษลิเวอร์พูลไม่ได้มากกว่านั้นทั้งที่ควรจะทำได้ในครึ่งแรกที่เกมของหงส์แดงปั่นป่วนอย่างหนักไม่สามารถรับมือกับบอลวางข้ามแนวรับของจ่าฝูงได้เลย
ทีมเรือใบสีฟ้าเคลื่อนเกมขึ้นมาแต่ละที เข้าทำแต่ละดอก หัวใจเดอะค็อปล้วนเต้นระทึกเป็นรัวกลอง
ไม่ต้องเสียเวลาเซ็ตบอลหาช่องเหมือนที่ทำกับทีมอื่นๆ ที่มาเน้นตั้งรับแน่นหน้าเขตโทษ ซิตี้โจมตีทุกช่องว่างและพื้นที่โล่งด้านหลังที่ลิเวอร์พูลเปิดให้ราวเชื้อเชิญได้แบบถึงใจที่สุด บอลหลุดเข้าเขตโทษได้ทุกครั้งเหลือเพียงแค่จังหวะสุดท้ายส่งบอลผ่านมือ อลีสซง เบ็คเกอร์ ให้ได้เท่านั้น
ซิตี้ทำได้จริง แต่ทำได้เพียงแค่สองครั้งจากโอกาสชัดเจนไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้ง
เห็นเกมในช่วงกว่าครึ่งชั่วโมงแรกโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง กาเบรียล เชซุส ยิงให้ซิตี้นำอีกครั้งเป็น 2-1 แล้ว ผมภาวนาให้ครึ่งแรกจบลงเร็วๆ เพื่อเบรกโมเมนตัมของซิตี้และเพื่อให้คล็อปป์ได้แก้เกมในห้องแต่งตัว
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1239919060-594x594.jpg)
ลุ้นให้สกอร์ไม่ไหลไปกว่านี้ ตาม 1-2 ยังไม่ไกลเกินไปนักแม้ใจลึกๆ จะยังวิตกเป็นบ้าว่าครึ่งหลังจะไหวไหมเมื่อนึกภาพฝันร้ายที่เพิ่งจะได้เห็นมาหมาดๆ ที่เกมรับของทีมโดนความดุดันในเกมรุกของซิตี้เล่นงานอ่วมอรทัย
ประมาณว่ารู้แหละครับที่ได้ระฆังช่วยเอาไว้ แต่ไม่กล้าวางใจได้เลยว่าคล็อปป์จะแก้เกมจนทีมกลับมาได้ในครึ่งหลัง ด้วยความอลหม่านมันมากเกินไป
แต่ก็นั่นแหละครับ ฟุตบอลเป็นเกมของสองครึ่งเวลา รูปเกมในครึ่งแรกไม่จำเป็นต้องเหมือนกับครึ่งหลัง ไม่อย่างนั้นจะมีช่วงพักครึ่งให้คนเป็นโค้ชแก้เกมทำไม
ลิเวอร์พูลกลับลงมาในครึ่งหลังด้วยสมาธิที่แน่วแน่กว่าเดิมในเกมรับ ผู้เล่นทุกแดนขยับตัวเร็วขึ้นบี้ชิดนักเตะซิตี้ไม่ให้เล่นง่ายๆ
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เป็นเป้าโจมตีเป้าใหญ่ในครึ่งแรกตื่นตัวขึ้น ระวังตัวสอดที่แอบมาจากด้านหลังมากขึ้น ขยับตัวดักบอลโยนตัดหลังได้เร็วขึ้น
มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ผมชอบมากสำหรับเทรนต์ในครึ่งหลังคือตอนที่ กาเบรียล เชซุส ได้บอลทะลุเข้าเขตโทษฝั่งแอนดี้ โรเบิร์ตสัน แต่เทรนต์วิ่งบังทางไม่ให้ ฟิล โฟเด้น ที่อยู่เสาไกลมีช่องเลย กองหน้าชาวบราซิลจึงเหลือทางออกเดียวคือยิงเองซึ่งบอลเข้าข้างตาข่าย
เทรนต์ละเอียดขึ้นและดีขึ้นชัดเจนในครึ่งหลัง เป็นนักเตะที่ผลงานครึ่งแรกกับครึ่งหลังสวิงสุดโต่งที่สุดแล้วในเกมนี้
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1390768939-594x594.jpg)
ผมคิดว่าคล็อปป์กระตุ้นลูกทีมได้ดีทีเดียวในช่วงพักครึ่ง เขาแก้ไขจุดบกพร่องจากครึ่งแรกได้ดี เกมในครึ่งหลังลิเวอร์พูลจึงแน่นอนขึ้น มีโอกาสมากขึ้น ป้องกันได้รัดกุมขึ้น แม้จะไม่ได้พลิกกลับมาเหนือกว่าแต่ก็ไม่เป็นรองสุดกู่อย่างครึ่งแรก
มีจังหวะสำคัญๆ หลายครั้งในเกมนี้ ประตูตีเสมอ 2-2 ของ ซาดิโอ มาเน่ ก็สำคัญเหลือหลาย มันเกิดขึ้นในเวลาที่แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ทันตั้งหลักในช่วงต้นครึ่งหลัง กระชากเกมให้กลับมาเท่ากันอีกครั้ง หรือจะเป็นประตูของ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ถูก VAR ริบ รวมทั้งเหตุการณ์ชี้เป็นชี้ตายในนาทีสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลเอาบอลไปป้วนเปี้ยนหน้าเขตโทษของซิตี้แต่จ่ายบอลเสี่ยงโดนตัดได้แล้วไปจบที่โอกาสทองของมาห์เรซ
หัวใจเดอะค็อปบางคนยังเตลิดเปิดเปิงไม่กลับมาเข้าที่จนถึงเวลานี้
และแล้วเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป แฟนบอลลิเวอร์พูลก็ได้พบว่า มันคือเกมที่ทีมได้ผลลัพธ์น่าพอใจที่สุดแล้ว
ไม่แพ้ในเกมที่น่าแพ้ แคแร็กเตอร์ยังโดดเด่น สปิริตยังดีเยี่ยม เลือดนักสู้ก็ยังไหลพล่านไปทั่วตัว
เทรนต์ผ่านให้โชต้ายิง ซาลาห์ผ่านให้มาเน่ยิง ฟาน ไดค์บังเหลี่ยมสเตอร์ลิงมิด อลีสซงยังไว้ใจได้ คล็อปป์แก้เกมได้ผล
แล้วผมก็ยังพอใจ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เหมือนเดิม ตอนนี้สภาพร่างกายเขาสมบูรณ์เต็มที่และก็น่าจะปรับตัวเข้ากับพรีเมียร์ลีกได้แล้ว หลายเกมแล้วนะครับที่ติอาโก้ไม่มีจังหวะทำฟาวล์โฉ่งฉ่างเพราะเข้าบอลช้าอย่างช่วงที่เพิ่งมาใหม่ๆ ให้เห็นแล้ว ถ้าจะฟาวล์คือตั้งใจทำฟาวล์เลยเพื่อตัดเกมโต้กลับของคู่แข่ง
และบอลจากเท้าของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยคุณภาพ เป็นมิติที่แตกต่างและเป็นอาวุธสำคัญจากแดนกลางของทีม
หนึ่งคะแนนที่นำอยู่นั้นหมายความว่าแชมป์ที่ครองอยู่อาจกระเด็นหลุดมือได้ง่ายๆ ด้วยความผิดพลาดแค่เกมเดียว แรงกดดันยังไม่ถูกปลดทิ้งจากบ่าตลอด 7 เกมที่เหลือ
ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าลิเวอร์พูลจะแซงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปเป็นแชมป์ได้แน่ๆ นะครับ เอาเข้าจริงโอกาสเป็นแชมป์ของลิเวอร์พูลเหลือน้อยลงด้วยซ้ำเพราะยังไล่ตามอยู่เหมือนเดิมแต่เกมเหลือน้อยลงแถมยังไม่มีเกมที่จะตัดแต้มซิตี้ด้วยตัวเองอีกแล้ว
ประมาณว่าก่อนเตะโอกาสระหว่างซิตี้กับลิเวอร์พูลอยู่ที่สัก 55 ต่อ 45 เปอร์เซนต์ หลังเตะอาจจะเป็น 60-40 หรือ 65-35
แต่ 35-40 เปอร์เซนต์ก็ยังดีกว่า 5 หรือ 10 เปอร์เซนต์ในกรณีที่แพ้ในเกมนี้อยู่เยอะ
ถามว่ายากไหม.. ยากอยู่แล้ว แต่หมดหวังไหม.. ไม่มีทาง
บางคนอาจจะบอกว่ามันจบแล้วเพราะโปรแกรมเตะที่เหลือของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ง่ายกว่า สำหรับผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยเมื่อได้เห็นคู่แข่งที่พวกเขาเคยพลาดเอาชนะไม่ได้
3-4 ฤดูกาลที่ผ่านมามันก็ทีมที่คาดไม่ถึงทั้งนั้นที่ไม่แพ้ซิตี้หรือถึงขั้นยัดเยียดความปราชัยให้
เซาธ์แฮมป์ตัน คริสตัล พาเลซ เบิร์นลี่ย์ ไบรท์ตัน นอริช ลีดส์ เวสต์แฮม เวสต์บรอมวิช ฮัดเดอร์สฟิลด์ วูล์ฟแฮมป์ตัน นิวคาสเซิ่ล สโต๊ค ซิตี้..
ทีมเหล่านี้ต่างก็เคยหยุดซิตี้มาได้แล้วทั้งนั้น บางทีมหนึ่งเกม บางทีมก็มากกว่าหนึ่งเกม ดูเผินๆ เหมือนไม่น่าเชื่อแต่มันเกิดขึ้นจริง
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1390789143-594x594.jpg)
แน่นอนอยู่แล้วเราพูดกันบนพื้นฐานที่ว่าลิเวอร์พูลเองต้องไม่พลาดใน 7 นัดสุดท้ายของตัวเองเช่นกัน ความยากของภารกิจนี้อยู่ตรงที่ในเงื่อนไขที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีที่สุดคือชนะทั้ง 7 นัดที่เหลืออยู่ ยังต้องลุ้นให้ซิตี้พลาด 1 เกม
เหย้า ไบรท์ตัน วัตฟอร์ด นิวคาสเซิ่ล แอสตัน วิลล่า
เยือน ลีดส์ ยูไนเต็ด วูล์ฟแฮมป์ตัน เวสต์แฮม..
เกมไหนก็ได้หนึ่งเกม
แต่ถ้าลิเวอร์พูลพลาด ก็ต้องบวกจำนวนเกมที่พลาดนั้นเข้าไปให้ซิตี้ด้วย ถ้าลิเวอร์พูลพลาด 1 เกมก็ต้องลุ้นให้ซิตี้พลาด 2 เกม ถ้าลิเวอร์พูลพลาด 2 เกมก็ต้องลุ้นให้ซิตี้พลาด 3 เกม
นั่นล่ะครับความยาก เราจึงพูดกันบนพื้นฐานของเงื่อนไขที่ว่าลิเวอร์พูลจะต้องไม่พลาดอีกเลยในโปรแกรมที่เหลือ
เหย้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอฟเวอร์ตัน สเปอร์ส วูล์ฟแฮมป์ตัน
เยือน นิวคาสเซิ่ล แอสตัน วิลล่า เซาธ์แฮมป์ตัน
ต้องไม่พลาดอีกเลย..
โดยส่วนตัวนั้น ผมรู้สึกอย่างนี้มาพักใหญ่แล้วครับว่าฤดูกาลนี้อาจเป็นการขับเคี่ยวกันเหมือนช่วง 9 นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2018/19 ที่ทั้งแมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ต่างไม่มีใครยอมกันเลย
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1390689715-594x594.jpg)
คุณชนะก่อน ผมชนะตาม.. ผมชนะก่อน คุณชนะตาม ความกดดันสลับโยนให้แก่กันทุกสัปดาห์แต่ไม่มีทีมไหนพลาดเลย ทั้งสองทีมชนะทั้ง 9 นัดนั้นด้วยกันทั้งคู่ (ซิตี้ชนะรวด 14 เกมสุดท้าย ลิเวอร์พูลชนะรวด 9 นัดสุดท้าย)
เป็นอย่างนี้ตลอด 9 นัดสุดท้ายของฤดูกาลซึ่งผลลงเอยด้วยตำแหน่งแชมป์ของแมนฯ ซิตี้ 98-97 แต้ม มันคือหนึ่งในการขับเคี่ยวแย่งแชมป์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา จะบอกว่าดีที่สุดในเชิงคุณภาพของคู่แข่งขันแย่งแชมป์ก็คงไม่ผิด
ฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูลเตะทั้งซีซั่นแพ้แค่นัดเดียว ชนะ 17 เสมอ 3 จาก 20 เกมแรก มีช่วงเข้าเบรกชนะรวด 6 นัดหนึ่งครั้ง ชนะรวด 9 นัดอีกสองครั้ง โกย 97 คะแนนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ณ เวลานั้นก็ยังอุตส่าห์ไม่ได้แชมป์
คราวนี้มันทำท่าจะเป็นอย่างนั้นอีก ถ้าอะไรๆ เป็นใจเราอาจจะได้เห็นการเข้าเบรกชนะของทั้งสองทีมในช่วงทางตรงสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัยอีกครั้ง
ผมทั้งอยากเห็นและไม่อยากเห็นในเวลาเดียวกัน..
อยากเห็นเพราะยังทึ่งและประทับใจในการต่อสู้ไม่ลดละของทั้งสองทีมเวลานั้น
ไม่อยากเห็นเพราะแน่ล่ะครับ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ฤดูกาลนี้จะไปสิ้นสุดที่ 95-94 คะแนน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
เอาเป็นว่าอยากเห็น แต่คราวนี้ขอความไม่สมบูรณ์แบบบ้าง
เกมไหนก็ได้หนึ่งเกม..
กับคู่ต่อสู้ระดับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขอแค่เกมเดียวยังอาจจะมากเกินไป แต่ลิเวอร์พูลบอกกับแฟนบอลของพวกเขามาตลอดว่าจงอย่าละทิ้งความหวัง
ตราบใดที่เสียงนกหวีดหมดเวลายังไม่ดังขึ้น จงอย่าคลายศรัทธาในทีมและอย่ายอมแพ้ ฟ้าสดใสพร้อมเปิดให้กับเราเสมอ
เข้าสู่ 7 เกมสุดท้ายของฤดูกาลกับหนึ่งคะแนนที่ตามหลัง ลิเวอร์พูลยังไม่หมดหวังและจะไม่ทิ้งความหวังแน่ๆ ยังมีลุ้นเต็มตัวอย่างนี้จะรีบยอมแพ้ได้ไง