โปรโมชั่นบาคาร่า AE SEXY กลุ่มดีๆที่ต้องบอกต่อให้เข้ามาเล่น

AE SEXY NEWS => เทคนิคข่าวสารคาสิโนออนไลน์ => หัวข้อที่ตั้งโดย: ผลบอลวันนี้ เมื่อ เม.ย 17, 2022, 11:09 หลังเที่ยง

ชื่อ: TheFAcup! ลุ้น4แชมป์!
โดย: ผลบอลวันนี้ เมื่อ เม.ย 17, 2022, 11:09 หลังเที่ยง
(https://static.siamsport.co.th/column/2022/04/17/column202204170238283.jpg)

กลายเป็นคู่แข่งที่ลุ้นกันเกือบทุกรายการสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูลเที่ยวนี้เอฟเอ คัพ มีความน่าสนใจอย่างมากมายหลังจากเสมอกันในพรีเมียร์ลีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกของสองทีม

    แน่นอนครับ....การกรำศึกเดินทางเข้าสู่ช่วงสำคัญของฤดูกาล "ศักยภาพ" ของทีมเชิงลึกสำคัญที่สุด

    พรีเมียร์ลีก, แชมเปี้ยนส์ลีก, เอฟเอ คัพ สามเกมใน7 วันต่อเนื่อง

    แถมวันเสาร์ที่16 เม.ย. อากาศที่อังกฤษจัดว่าร้อนอบอ้าวอีกต่างหาก

เป๊ป "โรเตชั่น" กระจาย

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1391799063-594x594.jpg)

    ถ้านับเอาตัวหลักชุดแรก แนวรับของเป๊ป คือชุดสอง สามคน

    สเตฟเฟน ประตูมือสองเล่นถ้วยนี้อยู่แล้ว แทน เอแดร์ซอน

    เนธาน อาเก, ชินเซนโก ได้โอกาสลงสนาม หลังจาก ไคล์ วอล์คเกอร์ เจ็บ

    โยก กานเซโล ไปแบ็กขวา ส่วน อาเก้ ยืนเซนเตอร์​กับ จอห์น สโตน

    แดนกลางยิ่งไม่ใช่ชุดแรก แฟร์นานดินโญ, แบร์นาโด ซิลวา (ลงตลอดเลย) และ ฟิล โฟเดน ชุดนี้แทบไม่ได้เล่นด้วยกัน โดย กุนโดกัน, โรดริโก มีชื่อสำรองเช่นเดียวกัน เดอ บรอยน์ ที่ไม่สมบูรณ์มีชื่อสำรอง ส่วนข้างหน้า เชซุส , สเตอริงและ กรีลิช

    พอเข้าใจแนวทางได้ เล่นติดต่อกันมาหลายนัด ถึงจังหวะต้องพักบ้าง ไม่ใช่ว่า "ทิ้ง" แต่การหมุนนักเตะใช้งานบวกกับความมั่นใจในการใช้นักเตะชุดสองของ เป๊ป มีเกินร้อย อีกทั้งบอลถ้วยเปลี่ยนตัวได้ห้าคน

    หยิบใช้ได้ตลอด
   
คลอปป์ ปรับแนวรุก

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240025251-594x594.jpg)

    กลางสัปดาห์ผลเสมอกับเบนฟิก้าจากการโรเตชั่นตัวหลัก7 คนไม่มีผลกระทบอะไร เพราะสกอร์รวมเข้ารอบ นักเตะตัวหลักหลายคนกลับมาเล่นในเกมนี้ ทั้ง เวอร์จิล ฟานไดจ์ , โม ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน

    เบคเกอร์ กับแบ๊กโฟร​ ปรับ โกนาเต้ มาเล่นกับ ฟานไดจ์ แบ๊กสองข้าง เทรนต์ และ รอบโบ ส่วนแดนกลางมีการปรับด้วยการส่ง เกอิตา ลงเล่นกับ ฟาบินโญ และ ติอาโก โดยเฮนโด พักข้างสนาม ส่วนข้างหน้านี่แหละที่มีการปรับ แม้ มาเน และ ซาลาห์ ลง แต่ ลุยส์​ ดิอาส ได้โอกาสต่อเนื่อง ทำให้ มาเน ต้องไปยืนหน้าเป้า

    ชุดนี้คือชุดที่ชนะเบนฟิก้า 3-1 ในเกมแรกของ ช.ป.ล .......

แฟนแมนฯซิตี้บางส่วน... "low class"

    ก่อนแข่งมีการยืนไว้อาลัย หรือ  a minute's silence

    ครบรอบ 33 ปีต่อการจากไปของสาวกเดอะ ค็อป 97 ชีวิต ที่ฮิลส์โบโร่

    ปรากฏว่าแฟนแมนฯซิตี้ กลับส่งเสียงโห่....ไม่เคารพต่อธรรมเนียมปฏิบัตินั้น

    ไมเคิล โอลิเวอร์​ รีบเป่านกหวีดหยุดการไว้อาลัย และเริ่มเกมการแข่งขันทันที

อืม...ในดงผู้ดีก็มีผู้เลว

ครึ่งแรกในฝัน 3-0

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240022825-594x594.jpg)

    15 นาทีแรกกลายเป็นจุดที่กำหนดเกมการเล่นครึ่งแรก สองทีมนั้นพยายามเพรสแดนบน ก็ยังไม่มีจังหวะกดดันมากมายดูจะแก้ทางกันได้ โดยทีมรุก ซิตี้ นั้น เป๊ป ใช้ กรีลิช "หน้าปลอม" ราฮีม ปีกซ้าย และเชซุสปีกขวา แต่ ราฮีม กับ กรีลิช สลับกันได้ โดย โฟเดน นั้นจะเติมมาช่วยเมื่อบุกเข้าแดนสามลิเวอร์พูล

    กระนั้นจังหวะสกอร์แดนสุดท้ายไม่มีเกิดขึ้นจนถึงนาทีที่9

    เมื่อเด็กหงส์ใช้ทีเด็ดลูกเตะมุม รอบโบ แอสซิสต์​เข้าหัว โกนาเต  นั่นคือครั้งแรกที่ได้โอกาสยิงแล้วเป็นประตูขึ้นนำ

    พอขึ้นนำเร็ว ทำให้จังหวะจะโคนของลิเวอร์พูล เล่นง่ายขึ้น แมนฯซิตี พยายามเดินเกมกดดัน แต่ยังไม่ได้น้ำได้เนื้อก็มาเล่นพลาดเอง จากจังหวะที่ สเตฟเฟน ประตูมือสองเล่นยากพยายามใช้เท้าสองสามจังหวะ เลยโดน มาเน ที่วิ่งบีบเข้ามาก่อนสไลด์บอลได้ก่อน โดนเท้า สเตฟเฟนระยะเผาขนเข้าไป 2-0 ใน17 นาทีแรก...

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1391786808-594x594.jpg)

จากนั้นเกมของเด็กหงส์ยิ่งเล่นง่าย มีออกบอลเสียบ้าง แต่ไม่อันตราย ขณะที่วันนี้ดูเหมือนนักเตะแมนฯซิตี้ จะมีปัญหาในจังหวะแย่งบอล 50-50 มักเป็นฝ่ายลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่า  การบุกวันนี้  จนท้ายครึ่งแรก.....จังหวะการประสานงานของ ติอาโก, เทร้นต์​ หน้าไลน์กองหลัง เป็น ติอาโก โชว์การชิพบอลเหนือชั้น ตกลงเท้า มาเน วอลเลย์ เข้าไปที่เสาแรก 3-0       นีคือครึ่งแรกในฝันของเด็กหงส์และทีมไหนก็ตามที่ขึ้นนำ แมนฯซิตี้ 3-0 ใน45นาทีแรก      ครั้งล่าสุดที่แมนฯซิตี้ โดนคู่แข่งยิง 3-0 ในครึ่งแรกคือ ช.ป.ล รอบก่อนรองชนะเลิศนัดแรก      เมื่อ 5 เม.ย. 2018  ก็เป็นลิเวอร์พูลของ เจเค นั่นเอง  ครึงหลัง...เรือใบได้เร็ว

    สองนาทีนับจากการเขี่ยบอล

    นี่คือคุณภาพของแมนฯซิตี ในการเข้าทำและจบสกอร์ เชซุส สลัดตัวประกบ ก่อนให้บอล กรีลิช แปเน้นๆ ไล่มา 3-1 น.47 นั่นทำให้เรือใบสีฟ้ามีความหวังในการลุ้นประตูที่เหลือสองลูก

    เรือใบจึงคุมเกมได้ลุ้น กระนั้นก็ไม่ได้สร้างจังหวะอะไรมาก จนถึงสิบนาทีสุดท้ายเรือใบกดดันต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาไล่มา 3-2 นาทีที่ 90+1 นั่นเองที่ช่วงทดเวลาสร้างความหวาดเสียวและเครียดให้กับแฟนหงส์....เกือบโดนตีเสมอสองจังหวะจากลูกเตะมุม

    แต่สุดท้ายก็รอดตัว....ไม่ต้องถูกลากยาวไปเตะ 120 นาที

    ชมหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของนักเตะแมนฯซิตี้

    นี่ถ้าได้ 3-2 เร็วกว่านี้ รับประกันได้เลยว่า "น่าเสียวไส้แทน"

    ซาลาห์ "กริบ" ต่อเนื่อง

    รวมเกมนี้ก็ 843 นาที ที่ โม ยิงประตูจากโอเพ่น เพลย์ (ไม่นับจุดโทษ) ตลอด2 เดือน จากจังหวะยิง40 กว่าครั้ง เกมนี้ก็ถือว่าเขามีส่วนร่วมกับทีมพอตัว แต่ไม่โดดเด่นอะไรเมื่อเทียบ มาเน หรือดิอาสในแนวรุก

ปัจจัยในการส่งลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศด้วยการปราบคู่ปรับยุคนี้อย่างแมนฯซิตี้

1 สภาพทีมเรือใบ

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240027287-594x594.jpg)

    ปฏิเสธไม่ได้ว่าการบาดเจ็บของ ไคล์ วอล์คเกอร์ และสภาพที่ไม่สมบูรณ์ของ เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนในการวางแผนก่อนเจอลิเวอร์พูล บวกกับการที่ เป๊ป เลือกใช้งานโครงสร้างหลักของทีม11 คนแรกแบบปรับทีมน้อยมากเหมือนกัน จากเกมชนะแอตเลติโก มาดริด นัดแรก1-0 ต่อด้วยลิเวอร์พูล และแอต.มาดริด เกมสองในช.ป.ล ทั้งสามเกมนี้ เป๊ป เลือกใช้โครงหลังทั้งแบ๊กโฟร์,แดนกลาง แบร์นาโด ซิลวา, โรดริโก และ เดอ บรอยน์ ต่อเนื่อง
และมาเจอกันอีกใน เอฟเอ คัพ ทำให้การจัดตัวของ เป๊ป ไปตามสภาพทีมของเขา ซึ่งก็ไม่สมบูรณ์​ ตรงนี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่คือ "สภาพทีม" เป็นรอง

2 การจบสกอร์หงส์ "คม"

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1391789382-594x594.jpg)

    ครั้งแรกได้ประตูคือจังหวะโหม่งของ โกนาเต มันคือการยิงประตูครั้งแรกแล้วได้เลย ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเกมที่สูสี คุณภาพกันเช่นนี้ มันย่อมทำให้จังหวะจะโคนได้เปรียบ และประตูสองก็ตาม เช่นเดียวกันกับประตูที่สามของ มาเน นั้นเกิดจากการยิงครั้งที่ 4 ในครึ่งแรก

3 แดนกลางเรือเป็นรอง

(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1391799270-594x594.jpg)

    ทั้งการแย่งบอล เพรสแดนสองของนักเตะกองกลางเรือใบสีฟ้า เกมนี้เป็นรองชัดเจน แถมเสียบอลแดนกลางง่ายๆ อีกทั้ง แฟร์นานดินโญ กับ แบร์นาโด ซิลวา ก็ตัดฟาวล์ โฉ่งฉ่าง รุปเกมของซิตี้เลยไม่ต่อเนื่องในการทำเกมรุกตลอดครึ่งแรก และครึ่งหลังก็ยังเป็นแบบนั้น เพียงแต่สถานการณ์ท้ายเกมมันคือแรงกดดันของหงส์แดงเอง บวกกับคุณภาพของตัวสำรองที่เปลี่ยนลงมาอย่าง มาห์เรส ช่วยให้ได้3-2 ช่วงทดเวลา แต่ถ้าว่ากันถึงเกมแดนกลางของซิตี้แล้ว เป็นรองเห็นได้ชัด ซึ่งครึ่งหลังจุดนีเด็กหงส์ ไม่อาจใช้ความได้เปรียบลงโทษจากเกมที่ดีกว่า...แล้วปล่อยให้ตัวเองมาเหนื่อยช่วงห้านาทีสุดท้ายและช่วงทดเวลา

    การเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพของลิเวอร์พูลเป็นครั้งที่ 15

    โดยครั้งล่าสุดคือปี 2012

    เที่ยวนี้มันก็มีความหมายในมุมที่ว่า พวกเขายังคงอยู่ในเส้นทางของการคว้าแชมป์สามรายการในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้.....อันเป็น 4 แชมป์ประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ