(https://static.siamsport.co.th/column/2022/04/11/column202204110734318.jpg)
การศึกระดับอภิพญามหายุทธที่เสมอหนึ่งนัดชิงชนะเลิศพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้แบบกลายๆ ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล จบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 ในเกมที่อุดมด้วยคุณภาพและความบันเทิงแบบคับตูดเลยทีเดียว
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1390676571-594x594.jpg)
1. เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วางระบบ 4-3-3 ตามถนัด โดยปรับ 3 ตัวบนให้ ราฮีม สเตอร์ลิง สวมบท 'หน้าเป้า' และ 'หน้าปลอม' ขนาบข้างด้วย ฟิล โฟเด้น กับ กาเบรียล เชซุส
แดนกลาง 3 ตัว โรดรี้ เล่นเป็นตัวรับ เควิน เดอ บรอยน์ กับ แบร์นาโด้ ซิลา เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุก
แผงหลังยังไม่มี รูเบน ดิอาส
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ผู้เล่นตัวสำคัญๆ อยู่กันครบ เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงจัดชุดใหญ่แบบเต็มอัตราศึก
กลาง 3 ตัว ดรีมทีมเลยทั้ง ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ติอาโก้ ซิลวา เอ๊ย! ติอาโก้ อัลคันตาร่า
หน่วยล่าสังหารเลือกใช้ โม ซาล่าห์ - ดิโอโก้ โชต้า - ซาดิโอ มาเน่
11 ตัวจริงที่จัดลงมาถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยง
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1239903859-594x594(1).jpg)
2. หงส์แดงพยายามบีบสูงตามสูตร เวลา แมนฯ ซิตี้ เซ็ตเกมขึ้นมา พวกเขาโหลดผู้เล่นในแดนบนถึง 6 คนเลยทีเดียว
จุดประสงค์คือปิดพื้นที่ตั้งแต่แดนบน เพื่อพยายามจะตัดบอลให้ได้แล้วจู่โจมเร็วทันที
แต่บีบสูงอย่างเดียว ไม่ได้เพรสซิ่งอะไรมาก แค่ขยับเข้าไปบังๆ ผู้เล่นเจ้าถิ่นจึงต่อบอลทำชิ่งกันแบบสบายๆ ไร้ความกดดัน ก่อนจู่โจมด้วยการวางยาวไปยังพื้นที่ว่างหลังแผงแบ็คโฟร์ที่ดันขึ้นสูงตามรูปทรงการเล่นแบบ 'ไฮ-ไลน์''
เรียกว่าเป็นการจี้จุดอ่อนของวิธีการเล่นแบบนี้
เมื่อไม่เจอการบดบี้ด้วยความรวดเร็วและหนักหน่วง แมนฯ ซิตี้ จึงคุมแดนกลางได้เหนือกว่า ด้วยผู้เล่นที่ต่อบอลกันได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
ว่าแล้วก็ครองบอลมากกว่า บุกมากกว่า และหาโอกาสทำลายตาข่ายได้มากกว่า เฉพาะอย่างยิ่งการเข้าทำจากริมเส้น แถมฉวยโอกาสขึ้นนำก่อนอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1239895434-594x594(1).jpg)
3. ตอนทีมที่เป็นความหวังของชาวโลกขึ้นนำอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยการมีรูปเกมที่เหนือกว่า
จังหวะนั้น...ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมก็เผลอ 'คิดชั่ว' กับพวกพรี่ๆ เขาว่า...งานนี้อาจมีไส้ไหล
แต่อย่างที่ผมเคยเรียนทุกท่านมาหลายครั้งหลายหนนั่นแหละครับว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้บรรลุแล้วซึ่งวิธีการทะลวงตาข่ายขั้นโสดาบัน
กล่าวคือพวกพรี่ๆ เขาหาวิธีแย่งประตูจากคู่แข่งได้โดยไม่จำเป็นต้องบุกกระหน่ำเป็นระลอก
บทจะได้ประตู เดี๋ยวได้เอง ม่องข่วง เนื่องเพราะมีเกมรุกที่เปี่ยมประสิทธิ์ภาพ
เกมนี้ก็เช่นกัน
ลิเวอร์พูล ครองบอลน้อยกว่า บุกน้อยกว่า โอกาสทำประตูก็น้อยกว่า แถมได้ใช้อาวุธทำลายล้างอย่างลูกเตะมุมแค่ครั้งเดียว แต่กลับได้ 2 ประตูเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ - คิดเอา
(http://static.siamsport.co.th/files/images/GettyImages-1239896667.jpg)
4. ย้อนกลับไปตอนจบครึ่งแรกที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์นำอยู่ด้วยสกอร์ 2-1
เด็กหงส์บ่นกันระงมเลยนะครับว่าทีมตัวเองเล่นแย่อย่างนั้น เล่นแย่อย่างนี้
บ้างก็ว่าโงหัวไม่ขึ้น
บ้างก็ว่าสู้ไม่ได้
และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ 'คนกลาง' อย่างผมกลับมองว่าเกมรับของ แมนฯ ซิตี้ ก็ออกอาการปั่นป่วนและประสาทแดกออกมาให้เห็นอยู่เหมือนกัน แถมตามแค่ประตูเดียว ด้วยเกมรุกที่บรรลัยกัลป์ พลพรรคหงส์แดงมีทีเด็ดพอที่จะขอแค่ทีเดียวแล้วยิงประตูได้เลย
บางทีพวกพรี่ๆ เดอะ ค็อป ก็ตื่นตูมกันเกินเหตุนะครับ
เพราะพลันที่เริ่มครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ก็ฉวยโอกาสที่ทีมตราเรือใบยังไม่ทันระมัดระวังตัวนี่แหละรีบชิงจังหวะบุกใส่แล้วตีเสมอได้แบบดื้อๆ โดยไม่จำเป็นต้องขึงเกมรุกใส่คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
เห็นไหมครับว่าลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บรรลุแล้วซึ่งการทำประตูจริงๆ
มิหนำยังดวงแข็งจนมักจะแคล้วคลาดจากการโดนยิงอีกตะหาก
เพราะจังหวะยิงของ ริยาด มาห์เรซ ในนาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บ มันต้องเข้าสถานเดียวเท่านั้น
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1239896063-594x594.jpg)
5. สำหรับเรื่องผู้ตัดสินที่พวกพรี่ๆ เขาโวยวายว่าเข้าข้างเจ้าบ้านด้วยอำนาจเงินเจ้าของทีมที่โคตรมั่งคั่ง
ผมมองว่ามันก็ไม่ได้เป่าเอนเอียงอะไรจนน่าเกลียดถึงขนาดต้องเอานกหวีดยัดเข้าไปใน Rule Darkz นะครับ พี่ๆ ครับ
จังหวะที่ โม ซาล่าห์ ยิงไปแฉลบผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ ออกหลัง
ดูจากภาพช้า และ VAR เช็คแล้ว มันไม่แฮนด์บอลแน่นอน เรื่องจุดโทษตกไปนะครับ
ทีนี้ถามว่าแล้วทำไมถึงไม่ให้ลูกเตะมุม
อันนี้ผู้ตัดสินพลาดนะครับ คือ 'ตาถั่ว' ซึ่งอาการ 'ตาถั่ว' มันก็เป็นเรื่องปกติของตุลาการสนามของอังกฤษอยู่แล้ว ขณะที่ VAR ไม่มีหน้าที่เช็คจังหวะออกหลังว่าเตะมุมหรือเปล่านะครับ
ในเมื่อเป่า (พลาด) ไปแล้วว่าเป็นลูกตั้งเตะ มันก็ต้องยึดตามนั้น แม้ VAR จะแสดงให้เห็นว่ามันแฉลบออกหลังชัดๆ ก็ตาม
ส่วนจังหวะอื่นๆ ในสายตาของผมก็ไม่มีอะไรน่ากังขาสักเท่าไหร่
เกมจบทั้ง 2 ทีมได้ 1 แต้มเท่ากัน แต่ 1 แต้มของ ลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะใหญ่กว่า 1 แต้มของ แมนฯ ซิตี้ นะครับ โดยโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของหงส์แดงยังคงเปิดกว้าง
เพราะถ้าฟ้าลิขิตให้ชวดแชมป์ พวกพรี่ๆ เขาคงเด๊ดห่าที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ไปเรียบร้อยแล้วล่ะ ไม่เอาตัวรอดกลับออกมาครบ 32 แบบนี้หรอก - เชื่อผมเถอะ !!!